ทวงสัญญา”พีระพันธุ์””รื้อ ลด ปลด สร้าง”พลังงานเมื่อใด รัฐบาลท่าดีทีเหลวดันนโยบายอืด ประชาชนเริ่มอืมระอา พูดมากกว่าลงมือทำ                         

695


               หากให้คะแนนขยันของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เดินสายขายไอเดียในต่างประเทศและลงพื้นที่พบประชาชน คงต้องให้เต็มสิบ
              แต่ด้านการผลักดันนโยบายที่ทำให้ประชาชนรู้สึกสัมผัสได้ว่านี่คือผลงานของรัฐบาลในรอบ 6 เดือน คงให้แค่ 2 คะแนน คือประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลมีนโยบายอะไร จากที่คาดหวังว่าเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายเสร็จ ไม่นานจะเห็นผลทางปฏิบัติ ก็กลายเป็นท่าดีทีเหลว


            อย่างนโยบายป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ที่ประกาศเป็นวาระแห่งชาติ กลับพบว่ามีแค่สร้างภาพ รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทำได้แค่เดินสายประชุม อวดแผนการทำงาน ไม่มีอะไรที่เป็นชิ้นเป็นอันชาวบ้านที่ลูกหลานตกเป็นทาสยาเสพติดต่างคาดหวัง ก็ไร้ความหวัง


            เพราะยังไม่เห็นความคืบหน้าว่าเจ้าหน้าที่ลงไปคัดกรองนำผู้เสพยาเข้าบำบัด โดยเฉพาะพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ พวกขี้ยายังหาซื้อยาเสพติดได้ในราคาเดิมอย่างสะดวกสบาย


            หรือในพื้นที่จังหวัดอื่นๆยังมีข่าวขี้ยาคลั่งยาหลอนทำร้ายญาติพี่น้องไม่เว้นแต่ละวัน แม้แต่พระระดับนักธรรมเอก ยังใช้กุฏิเป็นแหล่งค้ายาบ้าราคา 3 เม็ด 100 บาท ระหว่างถูกจับกุมบอกว่ายาบ้ามีกระจายอยู่ทั่วไป หาซื้อได้ไม่ยาก


         ขณะที่ปัญหาอาชญากรรมลักวิ่งชิงปล้น เกิดขึ้นแทบทุกเวลา ยิ่งในเมืองหลวงยังหาปลอดภัยลำบากอย่างกรณีวัยรุ่น2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ตระเวนตามซอยเจอเหยื่อใช้กรรไกรจี้ชิงเงินหญิงสาวได้เงินไป 110 บาท ถัดมาจี้ชิงทรัพย์อาจารย์วัย 65 ปี มีการต่อสู้เหยื่อบาดเจ็บ คนร้ายหลบหนีไป เหตุเกิดช่วงตี 5 ต่อมาตำรวจจับกุมคนร้ายได้


        นโยบายแก้ปัญหาปากท้องไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน สินค้าอุปโภคบริโภคพาเหรดขึ้นราคาแบบที่รัฐบาลยืนมองตาปริบๆ หรือ อย่างกรณีค่าแรงขั้นต่ำขึ้นไปไม่กี่บาทบางพื้นที่ขึ้นแค่ 2 บาท นายกรัฐมนตรีออกอาการโววายว่าขึ้นน้อยยังซื้อไข่ไก่ไม่ได้เลย ยังไม่มีอะไรชัดเจนว่าจะขึ้นเป็น 400 บาทตามที่ประกาศไว้
              มาตรการช่วยลดค่าครองชีพช่วงปลายปีนายเศรษฐา คุยว่าจะตรึงราคาพลังงานทั้งไฟฟ้า น้ำมัน เพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ แต่ตรึงไม่ได้นาน ราคาน้ำมันปรับขึ้น 6 ครั้งในเดือนมกราคม 


           ทำให้นึกถึงท่าทีของนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระทรวง แสดงอาการฉุนเฉียวเมื่อราคาน้ำมันปรับขึ้นลงแบบรายวัน ถึงขั้นตำหนิข้าราชการกระทรวงพลังงานว่าแก้ปัญหาราคาน้ำมันเพียงแค่รอฟังประกาศปรับลดราคาน้ำมันเท่านั้นหรือ ? 


            ช่วงปีใหม่นายพีระพันธุ์ โพสต์เฟสบุ๊กด้วยภาษาที่ดุดันบางตอนว่า ขอเล่าถึงสิ่งที่ทำแล้วในรอบปี 2566 ทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว เฉพาะที่เป็นข่าวคือลดค่าใช้จ่ายทั้งไฟฟ้าและน้ำมัน ยังคงทำอยู่ ต่อไปถึงเมษายน 2567 แม้จะเป็นมาตรการชั่วคราวภายใต้โครงสร้างพลังงานปัจจุบัน ที่ต้องไหว้วอนและขอความร่วมมือจากหลายฝ่าย ดีกว่าไม่ลงมือทำอะไร


    ”ไม่ว่าจะภายใต้โครงสร้างพลังงานที่ถูกหรือผิด แต่ถ้าจะทำจริงก็ทำได้ทั้งนั้น ผมจะรื้อทิ้งให้หมด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน เพื่อปลดพันธนการชีวิตจากค่าพลังงานที่ควบคุมไม่ได้”นายพีระพันธุ์ระบุและว่า จะสร้างระบบพลังงานของประเทศขึ้นมาใหม่ ให้มีความเป็นธรรมอย่างมั่นคงและยั่งยืน ตามนโยบาย “รื้อ ลด ปลด สร้าง” และแนวทางการทำงานแบบ “สู้ให้ทุกปัญหา พึ่งพาได้ทุกเรื่อง


    นายพีระพันธุ์ บอกอีกว่า “สิ่งที่เตรียมจะทำต่อให้ดีขึ้นในปี 2567 จะไม่ใช่แค่การปรับโครงสร้าง แต่จะรื้อระบบที่มีผู้ได้รับประโยชน์มหาศาลมายาวนาน ต่อไปผู้ที่จะได้ประโยชน์คือคนไทยและประเทศไทยเท่านั้น  เชื่อว่าการรื้อครั้งนี้ จะมีคนคัดค้านมากมาย เพราะผู้ที่เคยได้ประโยชน์แบบรากงอกต้องเสียประโยชน์มหาศาล คนเหล่านี้ที่ผ่านมาใช้ระบบสปอนเซอร์ เป็นเกราะคุ้มตัวตลอดมา แต่ผมไม่กลัวและจะทำ เพราะจะเป็นการรื้อเพื่อสร้างความเป็นธรรมแก่ประเทศและประชาชนแบบมั่นคงและยั่งยืน”


       การเคลื่อนไหวของนายพีระพันธุ์ “จอมมารน้อย”เคยยกมานำเสนอด้วยอาการชื่นชมในความกล้าหาญที่ประกาศ “รื้อ ลด ปลด สร้าง” โครงสร้างราคาน้ำมันที่ไม่เคยมีรัฐบาลหรือรัฐมนตรีคนไหนกล้าแตะ รวมถึงท่าทีไม่พอใจเรื่องปรับราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลดลง 2 บาททันที


      ขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 1 เดือนแล้ว ราคาน้ำมันที่ลดลง 2 บาท ช่วงปลายปี เดือนมกราคมขยับขึ้นติดต่อกัน 2.30 บาท สูงกว่าที่ลดลง .30 บาทแล้ว ที่สำคัญยังไม่เห็น นายพีระพันธุ์ จะขับเคลื่อน”รื้อ ลด ปลด สร้าง”โครงสร้างราคาน้ำมันเลย
        จึงไม่แน่ใจว่าที่ประกาศไม่กลัวใครเก็บใส่ลิ้นชักไปแล้วหรือยัง ?
        ขณะที่นโยบายแต่ละด้านที่รัฐบาลโฆษณาชวนเชื่อไว้ ยังไร้การปฏิบัติที่จริงจัง อาทิ การป้องกันและปราบปรามยาเสพติด หรือนโยบายด้านกระบวนการยุติธรรม ยังเลือกปฏิบัติเหมือนเดิม ชั้น 14 คือหลักฐานชิ้นโต


      ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาหนัก ยังไม่เห็นมาตรการอะไรที่ชัดเจน แถมค่าครองชีพพุ่งสูงขึ้นทุกวัน หรือนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แค่ ป.ป.ช.ทักท้วงว่ามีช่องทุจริตเกิดอาการแหยง ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อถูกทักท้วงต้องหาแนวทางป้องกันและอุดช่องโหว่ที่จะทุจริตก็สิ้นเรื่อง


     ดังนั้นเมื่อมองภาพรวมในการขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พบแต่การโฆษณาชวนเชื่อมากกว่าการปฏิบัติจริง เพราะชาวบ้านเกือบทั้งประเทศรู้สึกได้ว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเลย !!!