กลายเป็นประเด็นร้อนอีกคำรบ หลังอธิบดีกรมกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้นักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ชินวัตร พักรักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจต่อหลังรักษามากว่า 120 วัน โดยอ้างตามคำวินิจฉัยของแพทย์ผู้รักษาอาการป่วยว่ายังมีอาการเจ็บป่วยหลายประการต้องเฝ้าระวัง ก่อนที่จะอนุญาตเกิดความเคลื่อนไหวกดดันให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งดำเนินการให้นำน.ช.ทักษิณ กลับเข้าคุก
ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวของกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ(คปท.) กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน(ศ.ป.ป.ป.ส.)รวมถึงกลุ่มเสื้อหลากสี ถึงขั้นประกาศปักหลักชุมนุมค้างคืนข้างทำเนียบรัฐบาล ระหว่างวันที่ 12-15 มกราคม 2567 เพื่อแสดงจุดยืนและส่งสัญญาณไปยังผู้เกี่ยวข้องที่อนุญาตให้ น.ช.ทักษิณ ไม่ถูกคุมขังในเรือนจำ พร้อมเตือนให้ระวังอาจจะติดคุก
ขณะที่นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้าน อภิปรายในสภาฯในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ได้โยงถึงระบบนิติรัฐว่า “การดำเนินคดีทางการเมืองไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกถึงกระบวนการยุติธรรมสองมาตรฐานยังรุนแรงมากขึ้น จากกรณีที่บุคคลได้รับสิทธิในการักษานอกเรือนจำบนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ เมื่อเทียบเคียงกับกรณีนักโทษคนอื่นๆปรากฏว่าอยากมากที่จะได้รับการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม…”
รวมถึงความเคลื่อนไหวของคณะกรรมาธิการตำรวจ (กมธ.ตร.) บุกถึงโรงพยาบาลตำรวจ อ้างว่าขอไปศึกษางานและเยี่ยมชมการปฏิบัติหน้าของเจ้าหน้าที่ในการควบคุมผู้ต้องขังที่รักษาอาการป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยคาดหวังจะได้เข้าเยี่ยมอาการป่วยของน.ช.ทักษิณ ปรากฏว่าได้ขึ้นไปชั้น 14 จริง ประมาณ 10 นาที ไม่ได้เจอตัว แต่ได้ทราบว่า น.ช.ทักษิณ ป่วยภาวะหัวใจรั่วแล้วกลับลงมาเสมือนเล่นปาหี่
สำหรับประเด็นความเคลื่อนไหวของคปท.และแนวร่วม สื่อเลือกข้างรวมถึงบรรดาอดีตแกนนำม็อบบางคนที่ร่วมเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่างแสดงความเห็นว่าความวุ่นวายกำลังจะเกิดม็อบกำลังจุดติด รัฐบาลเศรษฐา ระวังจะซ้ำรอยรัฐบาลทักษิณและยิ่งลักษณ์
ครั้นมามองถึงสถานการณ์ความเคลื่อนไหวดังกล่าวรวมถึงการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่างๆเพื่อเขย่าขวัญรัฐบาลและข้าราชการที่เกี่ยวข้อง ประเมินแล้วแทบไม่ระคายผิวเลยเพราะทั้งรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องรวมถึงกรมราชทัณฑ์และโรงพยาบาลตำรวจ ต่างเลี่ยงที่จะให้ข่าวแบบตรงๆ อย่าง กรมราชทัณฑ์หรือโรงพยาบาลตำรวจ จะแถลงด้วยการแจกเอกสารข่าวหรือถ้าจะแถลงแบบตัวเป็นๆจะมอบให้โฆษกของหน่วยงานนั้นๆ แต่อยู่ในกรอบที่จำกัดสื่อไม่สามารถนำไปขยายประเด็นต่อได้ หรือการตั้งกระทู้สดถามนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ก็เลี่ยงไม่ตอบ แต่มอบหมายให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ที่เก๋าเกมกว่าเป็นผู้ตอบแทน ยิ่งในส่วนของหน่วยงานราชการไม่ต้องคาดหวัง เพราะเลี่ยงที่จะตอบแถมยังปกป้องอย่างแข่งขัน เพราะบางคนได้ตำแหน่งมาเพราะบารมีของ น.ช.ทักษิณ แทบทั้งสิ้น
หากวิเคราะห์โครงสร้างอำนาจในปัจจุบัน คงปฏิเสธไม่ได้ว่า น.ช.ทักษิณ มีบทบาทสำคัญในขับเคลื่อนงานต่างๆทั้งของรัฐบาลและข้าราชการ บ่อยครั้งที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายบิ๊กข้าราชการมักจะมีเสียงนินทาว่าตำแหน่งสำคัญ น.ช.ทักษิณ ต้องกดปุ่มไฟเขียวด้วย
ขณะเดียวกันนับแต่ น.ช.ทักษิณ กลับมารับโทษและได้อภิสิทธิ์ติดคุกทิพย์ ก็ไร้เสียงวิพากษ์วิจารณ์จากตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์นิยม ทั้งที่ผ่านมาตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์นิยมบางคนคือไม้เบื่อไม้เมาของ น.ช.ทักษิณ และเครือข่ายมาโดยตลอด
จึงพออนุมานได้ว่า น.ช.ทักษิณและเครือข่ายได้กลายเป็นหัวหอกสำคัญของกลุ่มอนุรักษ์นิยม ในการต่อสู้เพื่อชิงอำนาจกับกลุ่มเสรีประชาธิปไตย อย่าง พรรคก้าวไกลและกลุ่มก้าวหน้า ไปแล้ว
ดังนั้นประชาชนทั่วไปที่รักความเป็นธรรมอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายแบบตรงไปตรงมา จะรู้สึกอึดอัดกับกรณีน.ช.ทักษิณ ต้องทำใจ เพราะไม่แตกต่างกับยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เรืองอำนาจ ที่การบังคับใช้กฎหมายเลือกปฏิบัติเช่นกัน
หากเทียบบทบาทของพล.อ.ประยุทธ์ ยุคเรืองอำนาจ ไม่แตกต่างกับบทบาท ของ น.ช.ทักษิณ ในปัจจุบัน เพราะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า น.ช.ทักษิณ คือผู้ที่มาแทน พล.อ.ประยุทธ์
ดังนั้นการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆไม่ว่าจะเป็นฝ่ายค้านหรือสารพัดม็อบ จะไม่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งต่อรัฐบาล ข้าราชการและน.ช.ทักษิณ เพราะฝ่ายค้านและม็อบในปัจจุบันเป็นได้แค่เกาเหลาเท่านั้น !!!