นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวถึงกรณีนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แสดงความกังวลอาจมีการล็อบบี้การเลือกประธานกกต.ชุดใหม่ว่า เป็นเรื่องที่ว่าที่กกต.จะไปเลือกกันเอง ไม่รู้จะมีใครไปล็อบบี้กันได้ แต่เป็นธรรมชาติของการฟอร์มทีมองค์กรอิสระที่จะมีการออกข่าวว่า ใครเป็นผู้มีความเหมาะสม ความน่าสนใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะมีข่าวออกมาว่า ใครจะมาเป็นประธาน อย่าไปคิดว่าการแข่งขันเป็นประธานกกต. จะทำให้เกิดความขัดแย้งกัน ส่วนตัวเชื่อว่า การเลือกประธานกกต.ไม่น่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะในช่วงการสรรหากกต. ทางคณะกรรมการสรรหากกต.ได้สอบถามผู้สมัครทุกคนเกี่ยวกับเรื่องการทำงานร่วมกันว่า จะทำงานร่วมกันได้หรือไม่ หากมีใครมีอีโก้สูง คะแนนจะลดลงไป รวมทั้งต้องมีความเป็นอิสระ เป็นกลาง มั่นใจว่า เมื่อผ่านขั้นตอนเลือกประธานกกต.แล้ว จะไม่มีการเคลื่อนไหวสร้างความขัดแย้ง เพราะจะทำให้องค์กรขาดความศรัทธา
นายพรเพชรกล่าวว่า อย่างไรก็ตามสิ่งที่เป็นห่วงคือ เรื่องการยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่างๆ ของว่าที่กกต. 5 คน ที่จะต้องลาออกจากทุกตำแหน่งครบถ้วน มิเช่นนั้นอาจเกิดปัญหาเหมือนในอดีต เพราะบางคนใช้วิธีลาออกอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจะต้องมีการยื่นหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการ และมีหลักฐานยืนยันจากหน่วยราชการว่ามีการรับหนังสือลาออกแล้ว ขณะที่ตำแหน่งที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ จะต้องทำหนังสือลาออกถึงสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อนำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯเรื่องการขอลาออกจากตำแหน่ง ไม่ใช่แค่เขียนใบลาออกแล้วจบ ขอให้ทั้ง5คนตรวจสอบว่า ลาออกจากทุกตำแหน่งครบถ้วนหรือไม่ เพราะทางสำนักเลขาธิการวุฒิสภาไม่สามารถตรวจสอบได้ทั้งหมด หากมีการตรวจสอบพบว่ายังลาออกไม่ครบทุกตำแหน่ง อาจมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติการเป็นกกต.ในวันข้างหน้า ขอเตือนว่า เรื่องการลาออกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
นายพรเพชรกล่าวว่า ส่วนการสรรหาว่าที่กกต.อีก 2 คนนั้น จะดำเนินการหลังจากนำรายชื่อว่าที่กกต. 5 คน ขึ้นทูลเกล้าฯไปแล้ว แต่ไม่ต้องรอให้มีการโปรดเกล้าฯลงมา ก็สามารถเริ่มต้นกระบวนการสรรหาได้ประมาณต้นเดือน ส.ค.ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าจะใช้วิธีการสรรหาหรือทาบทาม กกต.ใน 2 คนที่เหลือ ในใจตนมีคำตอบแล้ว แต่ไม่อยากพูดชี้นำ เรื่องนี้ต้องรอให้คณะกรรมการสรรหากกต. ประชุมหารือกันก่อน ทั้งนี้ไม่ทราบว่า การสรรหากกต.ในรอบ 3 จะมีผู้สมัครลดลงหรือไม่ แต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะอยู่ที่คุณสมบัติแต่ละคน ผู้มาสมัครจะต้องคิดให้มากขึ้นว่า ตัวเองมีคุณสมบัติถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ แม้บางคนเคยเป็นอธิบดีมา 5 ปี แต่อาจมีเรื่องราวได้