กฎเปลี่ยนบ้านเป็นตาราง ราชทัณฑ์โดนวิจารณ์หนัก เหตุ”นช.แม้ว”ติดคุกทิพย์                          

439


              กฎเปลี่ยนบ้านเป็นคุก ตามกฎกระทรวงยุติธรรม เรื่องกำหนดสถานที่คุมขัง พ.ศ.2563 กลายเป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายวิจารณ์อยากหนักว่า เอื้อให้นักโทษชาย(นช.)ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

          ซึ่งกฎนี้ออกสมัยที่ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม มีสาระคือการพิจารณาให้คุมขังนักโทษนอกเรือนจำ จะกำหนดอาณาเขตของอสังหาริมทรัพย์ทั้งแปลงหรือส่วนใดของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างที่ตั้งอยู่บนอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ได้ แต่ต้องมีขอบเขตที่แน่นอน….มีการกำหนดเป็นสถานที่ราชการ วัด มัสยิด และบ้าน

      เมื่อกฎกระทรวงฉบับนี้ลงนามโดย นายสมศักดิ์ เมื่อวันที่ 25  กันยายน 2563 ถูกเผยแพร่ออกไปมีเสียงขานรับจากจากนักวิชาการ นักการเมือง และนักสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นสิ่งดี ตามกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ในกรอบสากล การจำแนกผู้ต้องขังและมีที่คุมขังนอกเรือนจำเป็นการดำเนินการตามหลักสากล

    ขณะที่นายสมศักดิ์ ย้อนที่มาว่าหลังเลือกตั้งปี 2562 เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่อมาปี 2563 มีข้าราชการ อดีตข้าราชการและคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน มาพบขอให้มีที่คุมขังนอกเรือนจำทั้งกับนักโทษ ผู้ต้องขังหรือผู้ถูกกล่าวหา ที่ไม่ควรต้องเข้าไปอยู่ในเรือนจำ

   “ผมเห็นด้วยจึงให้ปลัดกระทรวงยุติธรรมและคณะทำงานฯดำเนินการ แต่ไม่ทันเสร็จลาออกเสียก่อน”นายสมศักดิ์บอกและว่าการจำแนกผู้ต้องขังและสถานที่คุมขังนอกเรือนจำ ดำเนินตามหลักสากลและกฎหมายอนุญาตให้ดำเนินการลักษณะนี้ได้แต่ต้องเป็นไปตามกระบวนการอย่างครบถ้วน แต่การจำคุกข้อหาร้ายแรงจะไม่ถูกนำมาจำแนก ผู้เข้าเกณฑ์เท่าที่ดูคือมีโทษไม่เกิน 4 ปี และไม่ใช่บุคคลอยู่ในข่ายที่น่ากลัวของสังคม

             หากมองตามหลักการแล้วจัดว่าเป็นเรื่องดีที่เปิดโอกาสให้ผู้ต้องขังโทษน้อย สูงอายุ ได้เปลี่ยนที่คุมขังซึ่งไม่ใช่เรือนจำ  

           บรรดาสื่อมวลชนที่เป็นขาแบกขาเชียร์รัฐบาลต่างออกมาขานรับวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบวก แต่ไม่ได้หยิบยกประเด็นที่ว่าผู้ต้องขังต้องติดคุกจริงไม่ใช่ติดคุกทิพย์แบบ นช.ทักษิณ ขึ้นมาเทียบเคียงแต่อย่างใด

          ขณะเดียวฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลต่างตั้งข้อสังเกตเชิงเคลือบแคลงว่า  การดำเนินการของนายสมศักดิ์ เป็นการเตรียมกันเอื้อให้กับ นช.ทักษิณ แม้นายสมศักดิ์จะปฏิเสธว่าไม่ได้ออกระเบียบรองรับกับการย้ายไปสังกัดพรรคเพื่อไทย เพราะหากคิดจะเข้าพรรคเพื่อไทยคงทำเสร็จไปแล้ว

        แม้ นายสมศักดิ์ จะปฏิเสธว่าไม่ได้เอื้อแต่สังคมอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ เพราะถ้าส่องไทม์ไลน์การออกสื่อโซเซียลของนช.ทักษิณ เกี่ยวกับการเดินทางกลับไทย จะพบว่า นช.ทักษิณ พูดผ่านสื่อโซเซียลและคนใกล้ชิดมาตลอดทั้งก่อนที่จะมีการเลือกตั้งปี 2562 และช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

         ทุกครั้งที่ผู้สื่อข่าวข่าวนำประเด็นนช.ทักษิณกลับไทยไปถามพล.อ.ประยุทธ์ ทาง พล.อ.ประยุทธ์ จะแสดงอาการหงุดหงิด แต่มาในช่วงปี 2565 เมื่อถูกถามถึงประเด็นนี้พล.อ.ประยุทธ์ ได้แต่ยิ้มแล้วเดินเลี่ยงที่จะตอบ

        จากความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีการเตรียมการเพื่อจะรับ นช.ทักษิณ กลับไทยล่วงหน้าไว้แล้ว  

      แม้นายสมศักดิ์ จะปฏิเสธว่าไม่มีการเอื้อ คงพูดไม่เต็มปากนัก เพราะถ้าไม่เอื้อจริงนายสมศักดิ์ คงไม่ได้รับบำเหน็จนั่งตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี แถมก่อน นช.ทักษิณ จะกลับไทย นายสมศักดิ์ยังบินไปพบถึงต่างประเทศอีกต่างหาก 

    ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงข้าราชการ นักการเมืองและนักกฎหมาย ว่าถ้าใครรับใช้ตระกูลชินวัตร แบบถวายหัว บางคนถึงขั้นยอมติดคุก จะได้ตำแหน่งตอบแทนเป็นบำเหน็จเสมอมา

    จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สังคมจะมองว่ากฎกระทรวงฉบับที่เข็นออกมาในยุคที่นายสมศักดิ์ นั่งเสนาบดีกระทรวงตาชั่ง เอื้อให้ นช.ทักษิณ

   แต่ที่กฎกระทรวงฉบับนี้และกรมราชทัณฑ์ ออกระเบียบมารองรับ ถูกสังคมรุมถล่มอย่างหนักเวลานี้ มีเพียงแค่ประเด็นเท่านั้นคือ นช.ทักษิณ ไม่ได้นอนคุกแม้แต่คืนเดียว

        หาก นช.ทักษิณ ปฏิบัติตามกระบวนการยุติธรรมอย่างเคร่งครัด คือเมื่อศาลฎีกาพิพากษาจำคุกแล้ว เดินเข้าเรือนจำถูกคุมขังสัก 1 สัปดาห์หรือ 1 เดือน แล้วเกิดอาการเครียดจนล้มป่วยถูกนำส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์และถูกนำส่งต่อโรงพยาบาลตำรวจ เพราะอาการหนักปางตาย

    รับรองว่าเมื่อกฎกระทรวงฯและระเบียบของกรมราชทัณฑ์ ฉบับนี้ออกมาบังคับใช้โดยมีชื่อ นช.ทักษิณ รวมอยู่ด้วย จะไม่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบแน่นอน และบรรดาข้าราชการไม่ว่าจะสังกัดกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ จะไม่ถูกครหาว่าเลือกปฏิบัติ

 แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ นช.ทักษิณ ไม่ได้ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนจำแม้แต่ก้าวเดียว ก็ถูกส่งตัวเข้ารักษาโรงพยาบาลตำรวจทันทีและยาวนานมากว่า 100 วันแล้ว

 ดังนั้น เมื่ออำนาจการเมืองเปลี่ยนมือ บรรดาข้าราชการที่เกี่ยวข้อง อาจจะเช็คบิลย้อนหลังเหมือนที่เกิดขึ้นในยุคของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็เป็นได้ !!!