เปิดบันทึก…อัยการชัยณรงค์ ขอความเป็นธรรม”อสส.”ปม ปปช.สอบ-วินิจฉัยขัด กม.คดีมหากาพย์ บอส กระทิงแดง(ตอนจบ)

19945

                 ได้นำเสนอบันทึก ขอความเป็นธรรมของนายชัยณรงค์ แสงทองอร่าม อดีตอัยการอาวุโส ส่งถึงอัยการสูงสุด(อสส.) กรณีการไต่สวนและการสอบสวนวินิจฉัยของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ( ป.ป.ช.)ไม่ชอบด้วยกฎหมาย”และกล่าวหาว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157  ที่เกี่ยวพัน คดีนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือบอสกระทิงแดง ขับรถชน ด.ต.วิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจสน.ทองหล่อ เสียชีวิตช่วงเช้ามืด วันที่ 3 กันยายน 2555

         ซึ่งนายชัยณรงค์ ได้แจกแจงว่าช่วงเกิดเหตุคดีไม่ได้อยู่ในเขตอำนาจความรับผิดชอบและอสส.ไม่ได้มีคำสั่งให้เข้ารับผิดชอบคดีแต่อย่างใด จึงไม่เข้าข่ายความผิดตามมาตรา 157 และในตอนที่ 2 นายชัยณรงค์ ชี้แจงว่าเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีในฐานะส่วนตัว เพราะหลานสาวเป็นเพื่อนกับนายวรยุทธ ขอให้ไปช่วยดูในข้อกฎหมาย นั้น

        อีกประเด็นหนึ่งที่นายชัยณรงค์ ไม่เห็นด้วยกับคณะกรรมการป.ป.ช.มีมติให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง.

      ในหนังสือนายชัยณรงค์ อ้างถึงเหตุที่ไม่เห็นพ้อง เพราะในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2561 มาตรา 75 บัญญัติว่า..ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ มีพฤติการณ์ทุจริตต่อหน้าที่หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ให้คณะกรรมการป.ป.ช.ส่งรายงานไปยังอัยการสูงสุดภายในสามสิบวันนับแต่วันที่มีมติ เพื่อให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง..
 

 “จากกฎหมายดังกล่าวคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต้องพิจารณาให้ได้ความว่าผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าวมีเจตนาทุจริตต่อหน้าที่ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น หรือจงใจปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย ซึ่งหมายถึงการใช้อำนาจและหน้าที่ของการดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้นๆเพื่อการทุจริต เท่านั้นที่จะต้องอยู่ในอำนาจของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง”หนังสือระบุ

หนังสือระบุอีกว่า การกล่าวหา พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง สมาชิกสภานิติบัญญัติ(สนช.) ไปใช้อำนาจหน้าที่ทางการเมืองในคดีดังกล่าวนั้นไม่ถูกต้อง เพราะภาระหน้าที่ของ สนช.มีบัญญัติไว้เพียง 15 ข้อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอนุมัติ วินิจฉัยเกี่ยวกับข้อกฎหมายและตั้งกระทู้ถามนายกรัฐมนตรีเท่านั้น ที่ พล.ต.อ.สมยศ เข้าไปเกี่ยวข้องในนามส่วนตัว เพื่อสอบถามและขอความเป็นธรรมให้คนที่รู้จักเป็นการส่วนตัวที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 134 วรรคสี่ เพื่อให้ผู้ต้องหามีสิทธินำพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ได้

  “การที่ พล.ต.อ.สมยศ นำนักวิชาการมีความรู้ความสามารถในการคำนวณความเร็วของรถ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เพื่อพิสูจน์ตามหลักวิชาการนั้น กฎหมายเปิดช่องให้ทำได้ และพล.ต.อ.สมยศ เพียงแค่นำนักวิชาการเพื่อไปให้ตรวจพิสูจน์เท่านั้นและอยู่ด้วยเพียง 1 ชั่วโมงแล้วเดินทางกลับ เพราะต้องไปเป็นประธานประชุมคณะกรรมการตัดสินของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ไม่ได้กดดันให้เปลี่ยนแปลงหลักฐานใดๆทั้งสิ้น”หนังสือระบุ

     หนังสือระบุอีกว่า นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯตรวจสอบและพิสูจน์ยืนยันว่าความเร็วน่าจะอยู่ที่ 79.63 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถือเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะชี้แจงและแสดงหลักฐานโดยอาศัยนักวิชาการมายืนยัน หักล้างความเห็นของนักวิชาการจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ลงความเห็นว่าความเร็วรถอยู่ที่ประมาณ 177 กิโลเมตร/ชั่วโมง ซึ่งเป็นความเห็นทางวิชาการอันเป็นความเห็นซึ่งไม่อาจยืนยันแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ถือเป็นการโต้แย้งตามหลักวิชาการ ไม่ถือว่าเป็นพยานหลักอันเป็นเท็จแต่อย่างใด

      ในหนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายชัยณรงค์ ได้บรรยายถึงการต่อสู้ หักล้างพยานหลักฐานกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แต่งตั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น)โดยมี นายวิชา มหาคุณ อดีตกรรมการป.ป.ช.เป็นประธาน

     ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ได้กล่าวหาว่านายชัยณรงค์ แทรกแซง กระบวนการยุติธรรม ให้พนักงานสอบสวนอยู่ภายใต้การกำกับดูแล ทำพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ซึ่งนายชัยณรงค์ยืนยันว่าไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีอำนาจหน้าที่หรือความรับผิดชอบในที่เกิดเหตุแต่อย่างใด คณะกรรมการชุดนายวิชาได้กล่าวหานายชัยณรงค์ในหลายประเด็น ซึ่งนายชัยณรงค์ยืนยันว่าไม่ตรงกับข้อเท็จจริง จึงสงวนสิทธิเพื่อฟ้องร้องดำเนินคดีกับนายวิชาและคณะกรรมการ

  ในท้ายหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อ อสส.นายชัยณรงค์ ยืนยันว่าการไต่สวนพิจารณาและวินิจฉัยของคณะกรรมการป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยกฎหมายและไม่เปิดโอกาสให้เข้าชี้แจง มีเพียงการรับฟังพยานเพียงฝ่ายเดียว ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรมตามสิทธิต่างๆตามกฎหมาย จึงขอให้ อสส.โปรดให้ามีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์และต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ด้วย

   นี่คือหนังสือที่นายชัยณรงค์ร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งทีมสกู๊ปข่าวไทยแทบลอยด์ ได้คัดสรรนำเสนอประเด็นสำคัญๆเพื่อให้สังคมได้พินิจพิเคราะห์ในอีกมุมหนึ่ง เพื่อฉายภาพให้เห็นว่าคดีบอส กระทิงแดง นั่นได้เกี่ยวพันกับบุคคลในหลากหลายองค์กร

    จัดเป็นมหากาพย์แห่งคดีว่าได้ เพราะคดีตั้งต้นหลายข้อหาเริ่มหมดอายุความผู้ต้องหายังลอยนวล แต่ผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมต้องถูกสอบสวนถูกกล่าวหาและเตรียมฟ้องดำเนินคดีกันนัวเนีย  ผู้ต้องหาอาจจะกลับมาเฉิดฉายในเมืองไทย แต่ผู้เกี่ยวข้องยังต้องเดินขึ้นโรงขึ้นศาลแบบไม่จบสิ้นก็เป็นได้ !!!

  #ทีมสกู๊ปข่าวไทยแทบลอยด์