นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ค กล่าวถึงกรณีที่เจ้าตัวได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น เพื่อบรรยายเชิงวิชาการ ที่มหาวิทยาลัยโดชิชา โดยระบุว่า “2 วันสั้นๆที่ผมได้มาเยือนเกียวโต เพื่อบรรยายให้นักศึกษาญี่ปุ่น-นานาชาติ ที่มหาวิทยาลัยโดชิชา และเปิดเวทีเสวนาโต๊ะกลมกับนักศึกษา นักวิชาการไทย-ญี่ปุ่น ที่มหาวิทยาลัยเกียวโต ผมไม่รู้สึกเลยว่าได้มา “สอน” นักศึกษาเหล่านี้ ในทางตรงข้าม ผมได้เรียนรู้จากพวกเขาอย่างมหาศาล
ที่โดชิชา เนื่องจากเป็นวิชาการเมืองเอเชีย ผมจึงได้บรรยายเรื่อง “การเมืองแห่งความหวัง: ก้าวพ้นทศวรรษที่สูญหายของไทย” เล่าการเดินทางของการเมืองไทยจากการอภิวัฒน์สยาม 2475 มาถึงทศวรรษแห่งการขัดแย้งของการเมืองไทย ที่มีรัฐประหารถึง 2 ครั้งใน 8 ปี นักศึกษาในห้องที่กว่าครึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น และอีก 40% เป็นคนจากทั่วโลก ถึงกับช็อกเมื่อทราบว่า 86 ปีของประชาธิปไตยไทย เรามีสมาชิกสภาที่มาจากการเลือกตั้งทั้ง 2 สภาเพียงไม่ถึง 10 ปี ตกตะลึงกับภาพเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 19 และเมษา-พฤษภาฯ 53 ส่วนผมก็ต้องทึ่งเมื่อในช่วงท้ายของการบรรยาย สิ่งที่พวกเขาถามผม คือ เขาจะมีส่วนช่วยประเทศไทยได้อย่างไรบ้าง ให้พ้นจากสถานการณ์นี้ และนักศึกษาจากอินโดนีเซีย ยังให้กำลังใจพวกเราโดยย้ำว่าอินโดนีเซียผ่านการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ที่สูญเสียคนนับล้าน ผ่านการรัฐประหาร แต่ก็ยังสร้างการเมืองที่ประชาชนเป็นใหญ่ได้
นี่คือความรู้สึกร่วมกันของมนุษยชาติ ที่ตระหนักว่าประชาธิปไตยและสิทธิพลเมืองคือสิ่งที่ประชาชนควรได้รับ ไม่ว่าจะเกิดในประเทศใด พูดภาษาใด
ส่วนที่มหาวิทยาลัยเกียวโต บรรยากาศต่างออกไป วงสนทนาประกอบด้วยนักเรียนไทยที่ต่างรู้อยู่เต็มอกว่าปัญหาของประเทศมีอะไรบ้าง และกระตือรือร้นที่จะออกความเห็น กระตือรือร้นที่จะเปลี่ยนแปลง เพื่ออนาคตที่พวกเขาเองต้องอยู่กับมัน มีตั้งแต่ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ ไปถึงเรื่องสัมปทานบีทีเอส ระบบการศึกษา และแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรม
นี่คือสิ่งที่ผมอยากเห็น และผมภูมิใจว่าอนาคตใหม่ได้บรรลุเป้าหมายส่วนหนึ่งแล้วตั้งแต่ยังจัดตั้งพรรคไม่เสร็จ คือการคืนการเมืองให้กับประชาชน ทำให้นักเรียน อาจารย์ นักธุรกิจ พนักงานออฟฟิศ คนธรรมดาทั่วไป อยากเข้ามามีส่วนร่วม แสดงออกทางการเมือง ตระหนักว่าเสียงของพวกเขามีค่า โดยไม่เห็นว่าการคุยกับนักการเมือง พรรคการเมือง เป็นเรื่องอันตรายหรือทำให้ตัวเองต้องแปดเปื้อน
นี่คือหนทางที่จะทำให้อนาคตใหม่ คืออนาคตที่ประชาชนทุกคนได้กำหนดร่วมกัน”
