นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ให้ความเห็นถึงกรณีกระแสข่าวการพิจารณารายชื่อว่าที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ของที่ประชุม สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในวันที่ (12 ก.ค.) ว่าอาจจะได้กกต.ไม่ครบจำนวน 7 คนตามที่กฎหมายกำหนด และอาจนำไปสู่การใช้วิธีการทาบทามแทน ว่า ต้องรอดูการพิจารณาและผลการลงคะแนนของที่ประชุมใหญ่ สนช.ก่อนว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งถ้าเลือกบุคคลได้ไม่ครบแล้วใช้วิธีการทาบทาม ก็จะมีข้อครหา หรือสังคมสามารถมองได้ว่า ผู้มีอำนาจต้องการส่ง หรือมีคนของตัวเองที่ต้องการให้ไปเป็น กกต.อยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้กกต.ที่ได้มาจากการทาบทามอาจไม่ได้รับความเชื่อถือในความเป็นกลาง ที่สุดกระทบต่อความเชื่อมั่นในการทำหน้าที่ของกกต. ส่งผลให้การจัดการเลือกตั้งในอนาคตไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนและสังคมว่า จะทำให้เกิดความสุจริต เที่ยงธรรม ได้จริงหรือไม่
“ถ้าผู้มีอำนาจใช้วิธีการทาบทามจริง ก็ทำให้มองได้ว่า ผู้เล่นข้างหนึ่งเป็นคนเลือกกรรมการเข้ามาคุมเกมการแข่งขัน ถ้ากรรมการไม่เป็นกลางคนดูและผู้ร่วมเกมแข่งขันอื่นก็ไม่ยอมรับผลการแข่งขัน เกรงว่าที่สุดจะกลายเป็นการสร้างปมความขัดแย้งรอบใหม่ในสังคมขึ้นมาอีก” นายนิพิฏฐ์ กล่าว
นายนิพิฏฐ์ กล่าวอีกว่า หากเราดูตามกฎหมาย กกต. ระบุชัดในมาตรา 222 ระบุชัดว่าใช้การสรรหาบุคคลมาเป็นกกต. คือ 5 คนมาจากการสรรหาและอีก 2 คนมาจากการคัดเลือกมาจากที่ประชุมใหญ่ของผู้พิพากษาศาลฎีกา รวมเป็น 7 คน ซึ่งกฎหมายไม่ได้ระบุหรือใช้คำว่า ให้มีการใช้การทาบทาม ที่เขาพูดเปิดช่องไว้ ซึ่งเขาอาจจะระบุหรือเชื้อเขิญคนที่เขาถูกใจให้มาลงสมัครเป็นกกต. แต่ที่ผ่านมาในการสรรหาบุคคลที่เป็นกลางเป็นที่ประจักษ์ต่อสังคมไม่เคยมีการใช้ระบบเช่นนี้
“ผมจึงอยากสนช.พิจารณาให้รอบคอบ ถี่ถ้วนเป็นไปตามปกติตามขั้นตอนการสรรหา กกต.เพื่อมาทำหน้าที่นี้โดยสุจริตและเที่ยงธรรม แต่ก็อย่าแปลกใจ หากผลไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นได้ในยุคนี้ ขอให้สังคมจับตามอง ตามให้ทัน” นายนิพิฏฐ์ กล่าว