ความเชื่อของคนในสังคมกำลังกลับตาลปัดว่าจะเชื่อใครดีระหว่างโจร กับตำรวจ อัยการและราชทัณฑ์ เมื่อนาย เชาวลิต ทองด้วง หรือฉายา แป้ง นาโหนด นักโทษหลบหนีคดีปล่อยคลิปแฉเบื้องหลังคดีที่ถูกจับถึง 2 คลิป

ในคลิปบอกว่าถูกหักหลังมีผู้เกี่ยวข้องทั้ง อัยการ ตำรวจ และพ่อค้ายาเสพติด และถูกศาลตัดสินจำคุก ขอยื่นประกันตัวระหว่างยื่นอุทธรณ์ ก็ไม่ได้รับอนุญาต แต่ผู้ร่วมก่อเหตุได้รับการประกันตัวทุกคน
เนื้อหาในคลิปจะเท็จจริงประการใดสังคมทั่วไปไม่อาจรับทราบได้ แต่เมื่อคลิปแพร่ออกมา มีทั้งเชื่อ ไม่เชื่อ และเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่เมื่อ พ.ต.ท.วีระศักดิ์ คงเพชร อดีตผู้บังคับกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 434 พัทลุง ออกมาเปิดเผยเบื้องหลังคดีพร้อมยืนยันว่าเนื้อหาในคลิปที่เสี่ยแป้งปล่อยออกมาเกิดขึ้นจริง เพราะเป็น1ในชุดจับกุมพ่อค้ายาเสพติดด้วย เพิ่มน้ำหนักให้คลิปเสี่ยแป้งเป็นจริงมากยิ่งขึ้น คนที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งอาจหันมาเชื่อแบบสนิทใจก็เป็นได้
จากคดีเสี่ยแป้งหลบหนีสะท้อนให้เห็นถึงความชัดเจนว่าสังคมไทยอยู่ด้วยระบบอุปถัมภ์แบบหยั่งรากลึก เอื้อเฟื้อเมื่อมีผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ อัยการ หรือเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์
ความจริงอย่างหนึ่งในแวดวงผู้บังคับใช้กฎหมาย ที่อยากแสวงหาความร่ำรวยและอิทธิพลย่อมจะมีพวกที่ผิดกฎหมายซุกอยู่ใต้ปีกเสมอ เมื่อพลาดพลั้งถูกจับกุมจะมีตำรวจหรืออัยการยื่นมือเข้ามาแก้ปัญหาให้ อย่างเสี่ยแป้งที่สามารถหลบหนีได้แบบไร้ร่องรอย เกิดข่าวสะพัดว่ามีลูกพี่เป็นนายตำรวจยศพล.ต.ต.คอยเกื้อหนุนมาโดยตลอด
กรณีแบบเสี่ยแป้งไม่ใช่กรณีแรก แต่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในสังคม คนในแวดวงกระบวนการยุติธรรมต่างรับรู้และคอยช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด เพียงแต่กลุ่มไหนโชคร้ายปรากฏเป็นข่าวให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์ จนนำไปสู่การตรวจสอบอย่างเข้มข้น
อย่างกรณีคดีบอสกระทิงแดง ขับรถชนตำรวจตาย ทางคดีถ้าผู้ต้องหาสำนึกผิดยอมที่จะขึ้นศาลเพื่อสู้คดีอาจจะจบแบบรวดเร็ว แต่เพราะฐานะร่ำรวย คนในแวดวงกฎหมาย นักการเมือง ยื่นมือเข้าไปช่วยจำนวนมาก เมื่อถูกสังคมและสื่อตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทำให้ทั้งนักการเมือง นายตำรวจหลายระดับยันพล.ต.อ. นักวิชาการและอัยการ ต่างติดบ่วงกันทั่วหน้า
หรือกรณีนักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ชินวัตร ที่คนทั้งประเทศต่างรับรู้ว่าการบังคับใช้กฎหมายถูกเลือกปฏิบัติ หรือกรณีวุฒิสมาชิกถูกออกหมายคดีพัวพันยาเสพติดสามารถถอนหมายจับได้
หรือกรณีนักการเมืองถูกแจ้งข้อหาทุจริต พอรับทราบว่าถูกแจ้งข้อหาเผ่นไปตั้งหลักต่างประเทศ เมื่อเคลียร์กันได้ให้ประกันตัวบินกลับมามอบตัว ทั้งที่ความจริงถ้าเป็นพวกหนีคดีหรือหนีหมายจับกลับมามอบตัวไม่ควรได้รับการประกันตัว
หรือกรณีม็อบบุกยึดสนามบินส่งผลเสียหายให้กับประเทศมหาศาล นักธุรกิจหลายคนถึงขั้นล้มละลายเพราะไม่สามารถนำสินค้าเข้าประเทศได้ แต่สุดท้ายแกนนำชนะคดีรอดคุก
หรือกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้ปมนาฬิกาหรูของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ว่าไม่ผิดกฎหมายเพราะเพื่อนให้ยืม แม้แต่เด็กอนุบาลยังรู้ว่าตีความเพื่อช่วยเหลือ
นี่คือตัวอย่างส่วนน้อยของปรากฏการณ์บังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติ ซึ่งแต่ละตัวอย่างที่ยกมาล้วนแต่โลดเล่นอยู่สื่อโซเซียล เพียงมีโทรศัพท์มือถือทุกคนสามารถค้นคว้าหาได้
การบังคับใช้กฎหมายแบบเลือกปฏิบัติเสมือนยาขมของประชาชนส่วนใหญ่ที่รักความยุติธรรม เมื่อได้รับรู้ข้อมูลแบบสั่งสมไปเรื่อยๆจะเกิดอาการกดดันอยากเห็นประเทศไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี อยากเห็นความยุติธรรมบังเกิด
ยิ่งเป็นคนรุ่นใหม่มีความรู้กว้างขวาง สื่อสารได้หลายภาษาท่องโลกโซเซียลหาความจริงได้หลากหลาย รวมถึงความจริงที่ในประเทศปิดกั้น สามารถค้นคว้าหาได้
เมื่อข้อมูลเต็มสมอง ใจจะถวิลหาความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตของตัวเองและประเทศชาติ จะมองเครื่องมือเพื่อให้ความฝันเป็นจริง
ซึ่งคนรุ่นใหม่ต่างรับรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี ต้องแสดงเจตจำนงผ่านพรรคการเมือง จึงไม่แปลกที่พรรคก้าวไกล ที่ประกาศนโยบายว่าเลือกก้าวไกลเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศสู่สิ่งที่ดีกว่า จึงทะยานขึ้นพรรคอันดับ 1
พอเวลาผ่านไปพรรคก้าวไกลกลับเล่นการเมืองแบบต้นตรงปลายคด เข้มงวดกับคนอื่นผ่อนปรนกับพวกเดียวกัน ยอมหักหลักการทิ้งเพียงเพื่ออยู่ในอำนาจต่อ สส.หลายคนขาดจิตสำนึกที่ดีไร้สปิริต และบางคนถูกกล่าวหาเรียกรับผลประโยชน์
ส่งผลให้แนวร่วมที่เป็นคนรุ่นใหม่ คนระดับกลางรวมถึงคนรุ่นเก่า ที่ไม่ได้เป็นแฟนคลับแบบหน้ามืดตามัว แต่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงประเทศในทางที่ดีขึ้น ต่างเริ่มถอยห่าง
ความคาดหวังที่อยากเห็นประเทศเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี การบังคับใช้กฎหมายแบบไม่เลือกปฏิบัติ เริ่มถอยห่างเช่นกัน
เพราะวงจรอุบาทว์แห่งอำนาจยังวนเวียนอยู่ดังเดิม จึงไม่แปลกที่คนในสังคมบางส่วนเลือกเชื่อโจรมากกว่าเจ้าหน้าที่รัฐ !!!


