คดีหมูเถื่อนบ่งบอกนิสัย ขรก.รัฐบาล หวังนโยบายเข้าเป้า”นายกต้องคุมเข้ม-เป็นกำแพงให้พิง”

14407

         
        นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี คงได้เห็นพฤติกรรมของข้าราชการไทยแล้วว่าแต่องค์กรทำงานกันแบบไหน จะเป็นแบบสั่งทีเดียวแล้วรู้หน้าที่จะขับเคลื่อนหรือแบบสั่งแล้วต้องขันน็อตถือไม้เรียวยืนคุมอีก  
        ในฐานะผู้นำด้านบริหารเบอร์ 1 คงมองออกว่าเป็นแบบไหน กรณีสั่งให้ปราบปรามหมูเถื่อนพอจะเป็นตัวอย่างได้ดี

         เพราะก่อนที่ นายเศรษฐา จะบินไปประชุมเอเปคที่สหรัฐอเมริกา เรียก อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ไปสอบถามผลการปราบปรามหมูเถื่อนที่ลักลอบนำเข้าประเทศคืบหน้าถึงไหน ผลคือ นายเศรษฐาแสดงอาการหงุดหงิดเพราะไร้ความคืบหน้า

      พลันที่นายเศรษฐา บินไปสหรัฐฯ ดีเอสไอ ออกแอ็คชั่นทันที บุกตรวจค้นโกดังซุกหมูเถื่อนพร้อมกับแถลงถึงความคืบคดีที่จับกุมกันมาตั้งแต่เดือนกันยายน ออกหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อหามีทั้งนายทุนเจ้าของบริษัทฯ กลุ่มชิปปิ้ง และเจ้าของโกดัง

    ตำรวจก็ไม่น้อยหน้า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)สั่งการให้ตำรวจชุดเฉพาะกิจเปิดยุทธการปราบปรามสุกรเถื่อนปิดรอบตรวจค้นใน 12 จุด 8 จังหวัด ประกอบด้วย ปทุมธานี นครราชสีมา ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ  สกลนคร นครปฐม ราชบุรี และสมุทรสาคร  ยึดหมูเถื่อนไว้จำนวนหนึ่ง

   ขณะที่อธิบดีกรมปศุสัตว์ คงนั่งไม่ติดเก้าอี้เหมือนกันออกมาแถลงว่า ผลงานตั้งแต่วันที่ 12 ตุลาคม-16 พฤศจิกายน ตรวจสอบห้องเย็น จำนวน 2,117 แห่ง ยึดเนื้อวัวเนื้อควายกว่า 4 แสนกิโลกรัม ไก่เป็ดกว่า 1 ล้านกิโลกรัม และซากหมูกว่า 5 แสนกิโลกรัม

    นี่คือความเคลื่อนไหวเพียงบางส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐ หลังนายกรัฐมนตรีออกมากระตุ้น ด้วยอาการหงุดหงิด จึงอดตั้งคำถามไม่ได้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาข้าราชการที่เกี่ยวข้องมัวไปทำอะไรอยู่ เพราะถ้าส่องไทม์ไลน์ จะพบว่านายกรัฐมนตรีได้ให้สำคัญกับการปราบปรามหมูเถื่อนอย่างมาก

   เริ่มสั่งการตั้งแต่ 12 ตุลาคม เชิญอธิบดีกรมศุลกากรมาสอบถามข้อมูล พร้อมสั่งให้จัดทำแผนดำเนินการโดยเร็ว 15 ตุลาคม เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมหาแนวทางแก้ไข จี้ให้ดำเนินคดี ยึดทรัพย์ ผู้กระทำผิดและสนับสนุน 23 ตุลาคม สั่งให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปราบปราม และ 12 พฤศจิกายน ติดตามข้อสั่งการคงไร้ความคืบหน้าจึงอาการฉุนใส่ดีเอสไอ

     ถ้าตรวจสอบข้อมูลให้ลึกลงในรายละเอียดว่าทำไมคดีถึงล่าช้าและเจ้าหน้าที่รัฐมัวทำอะไรอยู่ พออนุมานได้ว่าการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนมีเจ้าหน้าที่ภาครัฐและเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง  ไม่ว่าจะเป็น กรมปศุสัตว์ กรมศุลกากร รวมถึงนายทุนที่เป็นนักการเมืองตระกูลดัง และมีเจ้าหน้าที่รัฐถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากขบวนการลักลอบขนหมู่เถื่อนเข้าประเทศแทบทั้งสิ้น เพราะมีทนายความและนักร้องหลายคนไปร้องให้ตำรวจสอบสวนแล้ว

    เมื่อมองบริบทโดยรวมนายเศรษฐา มาจากนักธุรกิจที่ทำงานแบบฉับไวสั่งการพนักงานให้ทำอะไรพร้อมสนองตอบได้ทันที พอมานั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอาจจะไม่คุ้นชินกับระบบราชการและการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ เมื่อติดตามงานที่สั่งไร้ความคืบหน้าเกิดอาการหงุดหงิด จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

    ถ้าจะโทษว่าข้าราชการไร้ความกระตือรือร้นในการทำหน้าที่ คงจะไม่ถูกแบบ100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าอะไรก็ตามที่มีการกระทำผิดหรือหมิ่นแหม่ต่อกฎหมาย ย่อมมีผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆหนุนหลังแทบทั้งสิ้น

  บ่อยครั้งที่เกิดคดีใหญ่ๆส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้าง พอเจ้าหน้าที่เริ่มสะสางไปสักระยะหนึ่ง ต้องถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ เพราะถ้าเดินหน้าต่อจะชนปังตอหัวแบะและจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่อีกต่างหาก

    ซึ่งคดีหมูเถื่อนผู้อยู่เบื้องหลัง ข่าวสะพัดว่านักการเมืองตระกูลดังอยู่ใกล้เมืองหลวงเป็นแบ็คใหญ่ยืนให้พิง และมีข้าราชการในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกหน่วยคอยเป็นไม้เป็นมือให้แล้วรับสินบนแบบจัดเต็ม

  สำหรับประเทศไทยการลักลอบค้าของเถื่อนไม่ได้มีเพียงแค่หมูเถื่อนเพียงอย่างเดียว แต่มีสารพัดทั้งสินค้าเกษตร สัตว์และผลไม้ รวมถึง ข้าว น้ำตาล ทุเรียน ไม้ อุปกรณ์ไฟฟ้า สินค้าแบรนด์แนม และน้ำมันเถื่อน เป็นต้น

    สินค้าเถื่อนเหล่านี้หากลักลอบลำเลียงเข้าประเทศ จะมีทั้งข้าราชการ นักการเมือง และผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆ มีเอี่ยวและคอยอำนวยความสะดวกอยู่ด้วยเสมอ

    ดังนั้น ถ้านายเศรษฐา ทวีสิน อยากให้ข้าราชการทุกหน่วยงานสนองนโยบายรัฐบาลแบบเต็มสูบ เห็นผลแบบรวดเร็ว สามารถถอนรากถอนโคนองค์กรเถื่อนต่างๆแบบเบ็ดเสร็จ ต้องโชว์ภาวะผู้นำที่เด็ดขาด สั่งจัดการการกระทำที่ผิดกฎหมายทุกรูปแบบ ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณกับผู้ปฏิบัติงาน

    ที่สำคัญนายเศรษฐา ต้องเป็นกำแพงอันแข็งแกร่งให้ข้าราชการที่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่แบบตรงไปตรงมา พิงอย่างไม่หวั่นไหว หากทำได้รับรองว่านโยบายของรัฐบาลทุกนโยบายจะบรรลุเป้าหมาย

    เมื่อต้องการทราบความคืบหน้าในข้อสั่งการต่างๆจากข้าราชการที่เกี่ยวข้อง อาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

   ดังนั้นที่ นายเศรษฐา เกิดอาการหงุดหงิดเมื่อข้าราชการไม่สามารถรายงานความคืบหน้าในข้อสั่งการได้ อย่าโทษข้าราชการเลย เพราะอดีตที่ผ่านมาผู้นำประเทศส่วนใหญ่เป็นได้แค่กำแพงนุ่น !!!