เวลาผ่านมากว่า 10 วันการไล่ล่านายชวลิต ทองด้วง หรือฉายา เสี่ยแป้ง นาโหนด นักโทษอุกฉกรรจ์ หลบหนีระหว่างเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช ยังคว้าน้ำเหลว
ทั้งที่ตำรวจและกรมราชทัณฑ์ระดมสรรพกำลังปิดล้อมเทือกเขาบรรทัด ในพื้นที่ จ.พัทลุง ตรังและสตูล แต่เสี่ยแป้ง อาศัยชำนาญพื้นที่และมีพรรคพวกคอยช่วยเหลือสามารถเอาตัวรอดได้ตลอดแม้จะมีการยิงปะทะกันบ้าง
ปฏิบัติไล่ล่าทำให้รัฐต้องสูญเสียงบประมาณและกำลังตำรวจโดยไม่จำเป็น ถ้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ไม่หละหลวมหรือไม่เห็นแก่ประโยชน์ที่เสี่ยแป้งประเคนให้ เหตุการณ์ลักษณะนี้คงไม่เกิดขึ้น
ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าหากนักโทษที่มีอิทธิพล มีฐานะ กรมราชทัณฑ์จะปฏิบัติแตกต่างจากนักโทษที่ไร้เงิน และไร้อิทธิพล คำเย้ยหยันที่ว่าคุกมีไว้ขังคนจน ย่อมเป็นจริงเสมอ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นอยู่เนืองๆ
อย่างกรณีของนักโทษชาย(น.ช.)ทักษิณ ชินวัตร หลังศาลฎีกาพิพากษาให้จำคุก ถูกคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ไม่ถึง 1 วัน ถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยอ้างว่า น.ช.ทักษิณ ป่วยหนักแพทย์ต้องดูแลอาการอย่างใกล้ชิด
ทั้งที่ก่อน น.ช.ทักษิณ จะบินกลับมารับโทษ โชว์ความฟิตของร่างกายผ่านสื่อโซเซียล เกือบทุกวัน แต่มาถึงเมืองไทยกลับล้มป่วย แถมผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ออกมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวปกป้องอีกต่างหาก
ซึ่งไม่แตกต่างกับแพทย์โรงพยาบาลตำรวจที่ยอมให้สังคมบูลลี่ว่าถ้าไม่จำเป็นอย่าไปรักษาที่โรงพยาบาลตำรวจ เพราะเก่งตรวจโรคแต่ไม่มีปัญหารักษา น.ช.ทักษิณ นอนรักษากว่า 2 เดือนแล้วยังไม่หาย น่าสังเวชใจจริงๆ
แม้เวลาผ่านไปกว่า 2 เดือน ผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ยังเกิดอาการ บื้อ บอด ใบ้ เมื่อทวงถามว่าจะนำ น.ช.ทักษิณ กลับเข้าคุกเมื่อใดก็ไร้คำตอบ
อดีตเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คนหนึ่งสะท้อนว่า นับแต่ น.ช.ทักษิณ กลับมารับโทษ มาตรฐานการคุมตัวของราชทัณฑ์ เปลี่ยนไปแบบหน้ามือกับหลังตีน เพราะในอดีตหากนักโทษเจ็บป่วยจะถูกส่งไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ก่อน หากอาการทรุดหนักจะส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่กรมราชทัณฑ์ทำสัญญาไว้
“อย่างกรณีโรงพยาบาลตำรวจจะมีห้องพักคนไข้กันไว้เป็นพิเศษ มีเตียง 5-6 หลัง คล้ายๆห้องควบคุมจะมีผู้คุมเปลี่ยนเวรไปทำหน้าที่ จะอยู่รักษาไม่เกิน 1 สัปดาห์ พออาการดีขึ้นส่งกลับเข้าเรือนจำเหมือนเดิม “อดีตผู้คุมท่านหนึ่ง เผยว่าถ้าหากเป็นนักโทษที่มีชื่อเสียงหรือนักการเมือง ถ้าไปตรวจอาการของโรคจะคุมไปแบบเช้าไปเย็นกลับ ถ้าจะนอนพักจะไม่เกิน 5-6วัน นักโทษเหล่านั้นไม่เคยร้องขอสิทธิพิเศษแต่อย่างใด ประกอบกับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ค่อนข้างเข้มงวดกับกฎหมายพอสมควร
“แต่หลังจากเกิดกรณี น.ช.ทักษิณ นักโทษที่มีชื่อเสียงหรือมีอิทธิพลเริ่มจะเรียกร้องเอาอย่างบ้างแล้ว บางเรือนจำผู้บัญชาการเรือนจำเกิดอาการกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันบ้างแล้ว”อดีตผู้คุมระบุ
จากความเห็นดังกล่าวพอสะท้อนได้ว่าผู้บริหารกรมราชทัณฑ์ ที่เคยเข้มงวดกำลังผ่อนปรนให้กับผู้มีอำนาจและมากปัจจัย ซึ่งในห้วงเวลานี้มีข่าวลือสะพัดว่านักโทษคดีขายข้าวแบบจีทีจู ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นคือ“เสี่ยเปี๋ยง”หรือนายอภิชาต จันทร์สกุล ถูกดำเนินคดีหลายคดีและศาลพิพากษาจำคุก มาหลายปีเกิดมีอาการป่วยหรือแกล้งป่วยสุดจะคาดเดา ถูกส่งตัวเข้ารักษาที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 มากว่า 2 เดือนแล้ว มีผู้คุมเข้าเวรเฝ้าผลัดละ 2 คน
ข่าวลือนี้เท็จจริงประการใดสุดจะคาดเดา แต่ลือสะพัดกันในกลุ่มผู้คุม เพราะต่างแย่งกันไปเฝ้านอกจากมีเบี้ยเลี้ยงแล้ว มีสินน้ำใจจากนักโทษอีกต่างหาก
ข่าวลือมักจะเข้าทำนองไม่มีควันย่อมไม่มีไฟ แต่ประชาชนทั่วไปอยากที่จะตรวจสอบได้ เพราะกรมราชทัณฑ์เปรียบเสมือนแดนสนธยาอยู่แล้ว ข่าวด้านลบถ้าคนภายในไม่ปูดออกมาสังคมอยากที่จะรับรู้และตรวจสอบได้
แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นข่าวลือมากกว่าข่าวจริง เพราะผู้บริหารราชทัณฑ์คงไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น เนื่องจากจะไปกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่ได้
แต่ถ้ามองถึงหลักความจริงอาจจะพออนุมานได้ว่าเป็นข่าวจริงก็ได้ เพราะอดีตที่ผ่านมาเสี่ยเปี๋ยงกับเสี่ยแม้วเอื้อประโยชน์กันมาโดยตลอด และยุคนี้เครือข่ายเสี่ยแม้วคุมอำนาจอยู่ด้วย
ดังนั้นเพื่อไม่ให้สังคมคาใจ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ และ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติ ควรทำความจริงให้ปรากฏโดยเร็ว จะช่วยกู้ภาพลักษณ์ที่ทรุดหนักจากกรณีเสี่ยแม้วและเสี่ยแป้งให้ดูดีขึ้นมาบ้าง
แต่ถ้าปล่อยให้ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปเรื่อยๆจนข่าวลือกลายเป็นข่าวจริงได้ ทั้งอธิบดีกรมราชทัณฑ์และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม จะถูกสังคมมองในทางเสียหายได้ และวลีที่ว่า คุกมีไว้ขังคนจน จะคงความขลังตลอดไป !!!