ชี้ปม”ก้าวไกล”มาตรฐานวูบ สนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตนกลับลำขับ”ปูอัด”แค่ดับกระแส?

3138

                       
            กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล รวมถึงส.ส.กว่า 100 คน คงปฏิเสธไม่ได้ว่ามาตรฐานการทำงานการเมืองที่วางไว้สูงถูกด้อยค่าจากแนวร่วมและชาวบ้านทั่วไป รวมถึงฝ่ายตรงข้ามที่จ้องย้ำเมื่อก้าวพลาด


            หลังลงมติขับ นายวุฒิพงศ์ ทองเหลา ส.ส.ปราจีนบุรี ด้วยเสียง 3ใน 4 ออกจากพรรค แต่นายไชยามพวาน มั่นเพียงจิต หรือปูอัด ส.ส.กรุงเทพมหานคร เสียงขับไม่ถึง 3ใน 4  รอด ตามข้อกล่าวหาคุกคามทางเพศ ทำให้ นายวุฒิพงศ์ ตัดพ้อว่าเป็น สส.ต่างจังหวัด เลยไม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับแกนนำพรรค พออนุมานได้ว่าไร้พวกช่วย แตกต่างกับนายไชยามพวานที่มีแนวร่วมสส.กรุงเทพฯบางส่วนอุ้มไว้

         หลังมติของพรรคแพร่ออกไป เกิดความเคลื่อนไหวของสมาชิกโดยเฉพาะกลุ่มสส.ผู้หญิง โพสต์ความรู้สึกผิดหวังกับมติถึงขั้นประกาศงดร่วมกิจกรรมของพรรค จนกว่าจะมีท่าทีที่ชัดเจนกรณีของนายไชยามพวาน

    แต่ท่าทีของ สส.ตัวตึงอย่าง นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร กลับโพสต์แค่ทำจอดำเท่านั้น ขณะท่าทีของสส.ตัวตึงอย่าง นายรังสิมันต์ โรม หรือ นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ กลับไม่ได้เห็นท่าทีชัดเจน

    พอเวลาผ่านไปเพียงแค่ข้ามวันพรรคก้าวไกลโดนทัวร์ลงกระหน่ำ ยิ่งได้เห็นท่าทีของนายไชยามพวาน ออกมาแถลงข่าวแทนที่จะขอโทษถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมแล้วแสดงสปิริตลาออกจากส.ส. กลับทำเพียงแค่โค้งคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่าสมราคาที่จบปริญญาสาขาเอกการแสดง  หนำซ้ำกลับไปแฉพฤติกรรมของผู้ร้องที่เป็นผู้หญิงอีกต่างหาก
   
จากกระแสทัวร์ลงบวกกับท่าที่ของนายไชยามพวาน ส่งผลให้ นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคฯโพสต์ข้อความดุเดือดตำหนินายไชยามพวาน พร้อมประกาศจะจัดประชุมกรรมการและสมาชิกเพื่อทบทวนมติ ขณะที่นายวิโรจน์ เกิดอาการเดือดดาลอย่างหนักถึงขั้นจะขอชกหน้า

   แม้ว่าพรรคจะกลับลำขับนายไชยามพวานออกแล้ว บวกกับท่าทีของนายวิโรจน์รวมถึงสมาชิกพรรคคนอื่นๆที่รุกไล่นายไชยามพวาน แบบดุดัน ถือว่าสายไประดับหนึ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ได้ยินเสียงวิจารณ์ว่าที่กลับลำเพราะถูกกระแสต้านหนัก สองมาตรฐาน เลือกปฏิบัติ กล่าวหาพรรคอื่นการละคร ก้าวไกลก็ไม่แตกต่าง


     ผลพวงของมติพรรคสะท้อนภาพด้านลบที่ไม่ควรเกิดกับพรรคก้าวไกลที่ตั้งมาตรฐานงานการเมืองไว้สูงนั่นคือกลิ่นอายเรียกรับผลประโยชน์ของสมาชิก จะจริงหรือเท็จแค่ไหน แต่ประชาชนเชื่อไปแล้วค่อนประเทศ


       เพราะคนที่ออกมาปูดข้อมูลคือ นายวุฒิพงศ์ ระบุว่าถูกร้องเรื่องคุกคามทางเพศถึงขั้นถูกขับ เพราะไปตรวจสอบปัญหาทุจริตของผู้ช่วยสส.มาจากสัดส่วนของผู้บริหารพรรค มีพฤติกรรมเอื้อประโยชน์ให้ช่วยซื้อที่ดินแบ่งขาย 5 ไร่มูลค่า3.5 ล้านบาท และขอให้แก้ไขราคาจาก 3.5 ล้านบาทเหลือ 1.7 ล้านบาทเพื่อจ่ายภาษีให้ถูกลง
 
“ระหว่างวันที่ 24-25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ไปยื่นเอกสารทุกอย่างถึงกรรมการบริหารพรรค แต่ไม่รู้ว่าเขาสนิทกับใครและกรรมการบริหารคนไหน ผมไม่รู้ว่าเหยียบเท้ากรรมการบริหารแรงแค่ไหน แต่ต้องเคลียร์เพราะเป็นเรื่องทุจริต ต้องสอบสวนอย่างเร่งด่วน แต่ผ่านมา 4 เดือนแล้วยังไม่ทำ”
นายวุฒิพงศ์ระบุ

      หากย้อนมองบทบาทของพรรคก้าวไกล นับแต่เลือกตั้งเป็นพรรคชนะเลิศอันดับ 1 แสดงจุดยืนปฏิเสธไม่ร่วมสังฆกรรมกับพรรครัฐบาลเก่า ได้ใจแฟนคลับล้นหลาม

    พอหลุดขั้วอำนาจบริหารมาทำหน้าที่ฝ่ายค้านประชาชนและแฟนคลับต่างเชื่อมั่นว่าหาก ทำหน้าที่ฝ่ายค้านคงเส้นคงวาเปี่ยมคุณภาพดังเดิม เลือกตั้งสมัยหน้าแลนด์สไลด์แน่นอน

      แต่พอเวลาทอดยาวออกไปบทบาทของสมาชิกเริ่มเป๋ อยากได้อำนาจจนเกินงามเล่นเกมสมยอมระหว่างนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก กับกรรมการบริหารพรรค เพียงเพื่อเกาะเก้าอี้รองประธานสภาฯให้แน่น ด้วยการขับออกจากพรรค เพื่อส่งนายชัยธวัช ผงาดผู้นำฝ่ายค้าน จนถูกทัวร์ลงกระหน่ำว่าลดมาตรฐานเพื่อกินรวบ เริ่มเสพติดอำนาจ
     จนถูกวิจารณ์ว่าก้าวไกลการละครพอๆกับที่เคยกล่าวหาว่าเพื่อไทยการละคร มาตรฐานทางการเมืองที่สูงถูกด้อยค่าไปโดยปริยาย 

       
แต่ที่ถูกด้อยค่าหนักคือการลงมติขับนายวุฒิพงศ์และนายไชยามพวาน ที่ผลออกมาต่างกัน ทัวร์ลงกระหน่ำ จนกรรมการบริหารและสมาชิกต้องกลับลำลงมติขับออกแบบสายเกินแก้

      ยิ่งส่องไปถึงปมที่นายวุฒิพงศ์ออกมาแฉผู้ช่วย สส. ขายที่ดินแบบเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองแถมเลี่ยงภาษีจัดว่าฉาวโฉ่หนัก เพราะพฤติกรรมแบบนี้ส่อไปในทางทุจริต เสนอเรื่องให้กรรมการพรรคมากว่า 4 เดือนแล้ว แต่เงียบ จนถึงขั้นรำพึงว่า”ไม่รู้ว่าเหยียบเท้ากรรมการพรรคแรงแค่ไหน..” ที่ย้ำประเด็นนี้เพราะพลพรรคก้าวไกลระดับแกนนำต่างประกาศกร้าวมาตลอดว่าจะต้องปราบทุจริตให้หมดไป การเมืองต้องโปร่งใส

    แต่พอภายในพรรคผู้ช่วยสส.สัดสวนของผู้บริหารพรรค ถูกกล่าวหาจากพวกเดียวกัน กลับเงียบเหมือนเป่าสาก ลักษณะแบบนี้พอเรียกว่าการละครได้หรือไม่ ?

   ดังนั้นเมื่อพรรคก้าวไกลเกิดเรื่องฉาวโฉ่ถูกสังคมวิจารณ์หนักเป็นเรื่องปกติ เพราะแกนนำมักจะคุยโวว่าพรรคมีมาตรฐานทางการเมืองสูงกว่าพรรคอื่น แต่พอเกิดเรื่องภายในแกนนำส่วนใหญ่เลือกที่จะเงียบ เข้าทำนองเข้มงวดกับผู้อื่นผ่อนปรนกับพวกตัวเอง
 
ที่สำคัญทุกประเด็นฉาวล้วนแต่เป็นการกระทำของบุคลากรในพรรคแทบทั้งสิ้น เสมือนสนิมเหล็กเกิดแต่เนื้อในตน ถ้ามองสภาพของพรรคก้าวไกลช่วงนี้พออนุมานได้ว่าหมดสภาพ ศรัทธาทรุด
 

ดังนั้นเพื่อกอบกู้ศรัทธาที่เริ่มทรุด กรรมการบริหารพรรคต้องใช้ยาแรงจัดการพวกนอกลู่แบบตรงไปตรงมา ผลที่ออกมาสังคมยอมรับได้ทันที ไม่ต้องให้กระแสมากดดัน เสมือนได้จัดการสนิมที่เกิดภายใน แล้วศรัทธาจะกลับแน่นอน !!!