อิทธิพล”วัดบางคลาน”

15959

“วัดบางคลาน”เขตปลอดกฎหมาย กลุ่มอิทธิพลรุมแย่งชามข้าว ”มท.-ตร.”จนปัญญาจัดการ..!!??

                               


            หลังเกิดเหตุตำรวจถูกยิงตายในบ้านนายประวีณ จันทร์คล้าย หรือกำนันนก นครปฐม ตายต่อหน้าตำรวจกว่า 20 นาย สร้างความอัปลักษณ์ให้กับองค์กรตำรวจอย่างยิ่ง  จนรัฐบาลต้องปัดฝุ่นนโยบายจัดการกับผู้มีอิทธิพลอีกคำรบหนึ่ง โดยนายกรัฐมนตรี มอบให้ นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จัดการ นายอนุทินส่งไม้ต่อให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ดำเนินการ

        ล่าสุด นายชาดาบอกว่าฝ่ายปกครองได้ส่งชื่อผู้มีอิทธิพลมาแล้ว 600-700 ราย อยู่ในขั้นตอนการกลั่นกรอง และติดตามพฤติกรรม  

       ในจำนวนรายชื่อเหล่านี้ไม่แน่ใจว่าจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลที่ครอบงำ วัดบางหิรัญญารามหรือวัดบางคลาน อ.โพทะเล จ.พิจิตร รวมอยู่ด้วยหรือไม่ ถ้าไม่มีเห็นที นายกรัฐมนตรีต้องให้ นายอำเภอโพทะเล ผวจ.พิจิตร  ผกก.สภ.โพทะเล ผบก.ภ.จว.พิจิตร  และผอ.รมน.จว.พิจิตร สอบตก เพราะเคยคาดโทษไว้แล้ว

   ที่ตั้งคำถามแบบนี้เพราะความขัดแย้งในวัดบางคลานเกิดขึ้นตั้งแต่ปี  2557 ยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ครองอำนาจ เมื่อเจ้าคณะจังหวัดพิจิตร สั่งปลดเจ้าอาวาส เนื่องจากใช้เงินวัดผิด? โ​ธ​้​วัตถุประสงค์แล้วตั้งรักษาการแทนเจ้าอาวาส เข้าบริหารจัดการเงินบริจาคและทรัพย์สินของวัด ชาวบ้านแตกแยกกัน

    ฝ่ายแรกไม่เชื่อใจรักษาการเจ้าอาวาส เพราะมีพฤติกรรมเกี่ยวกับเรื่องเงิน อีกฝ่ายต้องการเข้ามาตรวจสอบทรัพย์สินของวัดจนมีการฟ้องร้องกันหลายคดีและฝ่ายคัดค้านเจ้าอาวาสใหม่ แล้วดึง นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ วุฒิสมาชิกเข้ามาช่วย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้ เกิดพิพาทยาวนานกว่า 9 ปี

  ช่วงเดือนเมษายน 2566 เกิดคดีเหตุกลุ่มชายฉกรรจ์บุกเข้าวัดบางคลาน ทำร้ายไวยาวัจกรและกลุ่มคนงานบาดเจ็บ มีการแจ้งความ ที่ สภ.โพทะเล ตำรวจจับกุมกลุ่มชายฉกรรจ์ 21 คน ออกหมายเรียกให้นายกิตติศักดิ์ ไปรับทราบ 3 ข้อหา

   ถัดมาเดือนกรกฎาคม เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และตำรวจกว่า 250 นาย เข้าควบคุมพื้นที่วัด พร้อมนำพระครูพิสุทธิวรากร เจ้าอาวาสองค์ใหม่และคณะกรรมการวัดชุดใหม่ เข้าปฏิบัติงาน ถูกชาวบ้านกลุ่มอดีตเจ้าอาวาสกว่า 100 คนอยู่ในวัดต่อต้านปิดประตูวัดตะโกนด่า ใช้หนังสติ๊กยิงใส่ฉีดน้ำเน่าใส่ เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ จึงแจ้งความดำเนินคดีไว้

    กระทั่ง วันที่ 3 ตุลาคม พระครูพิสุทธิวรากร เข้าพบ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป.เพื่อให้ช่วยแก้ปัญหาข้อพิพาท โดย พระครูพิสุทธิวรากร บอกว่า ไม่สามารถเข้าวัดได้ มาร้องขอให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ช่วยแก้ไข ที่ผ่านมาทั้งผู้ว่าฯนายอำเภอ ตำรวจ ไม่สามารถจัดการได้ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐไม่จริงจัง ทำงานแบบลูบหน้าปะจมูก ความผิดซึ่งหน้าไม่กล้าจับกุม

      เมื่อย้อนดูจุดเริ่มต้นของความแตกแยกมองได้ประเด็นเดียวคือผลประโยชน์ ซึ่งต่างฝ่ายจะอ้างว่าเข้ามาพิทักษ์ผลประโยชน์ของวัด เพราะทราบกันดีว่าด้วยบารมีของหลวงพ่อเงิน ทำให้วัดมีรายได้นับพันล้านบาท หากการบริหารจัดการรายรับรายจ่ายของกรรมการวัดไม่เข้มงวดพอ โอกาสที่เงินบุญจะรั่วไหลเป็นไปได้สูง

     ถ้ากรรมการทำงานโปร่งใส่ปากกับใจตรงกันว่าสละเวลามาทำด้วยจิตศรัทธา ไร้ผลประโยชน์ เมื่อหมดวาระย่อมจะลุกออกอย่างสง่างาม ความขัดแย้งคงไม่เกิด

    ดังนั้นข้อพิพาทที่เกิดขึ้นกรรมการชุดเก่ารวมถึงผู้มีอิทธิพลที่ถูกดึงมาเป็นแบ็ค คงหนีไม่พ้นเสียงครหาว่าอยู่เพื่อหาผลประโยชน์มากกว่าอาสามาทำงานด้วยศรัทธา

      ยิ่งบวกกับข้อกล่าวหาของ นายพร ไวยาวัจกรวัดฯ กล่าวผ่านรายการโหนกระแส ว่า”ตรวจพบกลุ่มเจ้าอาวาสเก่ายักยอกเงินของวัดไปหลายร้อยล้านบาท มีการร้องต่อป.ป.ช.ฟ้องเอาเงินคืนจากไวยาวัจกรและทีมงานของเจ้าอาวาสเก่า” เท่ากับเพิ่มเสียงครหาให้ดังขึ้นอีก

     อีกประเด็นที่ความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ อาจเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐเกรงใจ นายกิตติศักดิ์ มีบทบาทสูงในการปกป้อง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามวิจารณ์ ก็เป็นได้ เพราะแม้แต่ผู้ว่าฯยังถูกนายกิตติศักดิ์ ตำหนิหลังแจ้งให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา

   ถ้ามองถึงปมพิพาทของวัดบางคลาน จัดว่าเป็นปมเล็กๆที่ระดับนายอำเภอหรือผกก.จัดการได้ แต่บังเอิญว่าปมพิพาทมีผลประโยชน์นับพันล้านเกี่ยวข้องด้วย จึงอดสงสัยไมได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐถูกผลประโยชน์บังตาหรือไม่ เพราะแม้แต่เจ้าอาวาสองค์ใหม่ก็ตั้งข้อสงสัยว่าทำงานกับแบบลูบหน้าปะจมูก

      ดังนั้นเพื่อแก้ปัญหาที่กลุ่มผู้มีอิทธิพลฟัดกันเพื่อแย่งชามข้าว ขอให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าอาวาสแล้ว ใช้ไม้แข็งจัดการทันที โดยขอชุดหนุมานหรือหน่วยคอมมานโด จากผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เข้าเคลียร์ชาวที่ยึดวัดเป็นที่มั่นออกแล้วตรึงพื้นที่ห้ามคนนอกเข้าออก  

       จากนั้นเร่งเชิญกรรมการวัดทั้งชุดเก่าชุดใหม่และผู้อยู่เบื้องหลัง สอบถามข้อมูลแบบรายตัวพร้อมหาหลักฐานเอกสารควบคู่ไปด้วย ถ้าพบทุจริตแจ้งข้อหาดำเนินคดีทันทีแบบไม่เลือกปฏิบัติ แล้วเสนอให้สำนักพระพุทธศาสนาฯและพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ยกเลิกคำสั่งตั้งเจ้าอาวาสและไวยาวัจกร คัดสรรตั้งเจ้าอาวาส ไวยาวัจกรและกรรมการชุดใหม่เข้าบริหาร พร้อมจัดตำรวจตระเวนชายแดนค่อยดูแลจนสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ  

   แต่ถ้า พล.ต.ต.จรูญเกียรติ จะให้จบแบบเจรจาคงลำบากเพราะความขัดแย้งมาไกลเกินเยียวแล้ว แม้แต่ผู้ว่าฯยังจะขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้าดำเนินการเลย ถ้าหากเกิดขึ้นจริงพอบ่งบอกได้ว่า กระทรวงมหาดไทยและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไร้น้ำยาจริงๆ เพียงแค่วัดบางคลานยังเอาไม่อยู่ปล่อยเป็นพื้นที่ปลอดกฎหมายนานกว่า 9 ปี แล้วผู้มีอิทธิพลที่ขึ้นบัญชีไว้กว่าครึ่งพันจะสยบได้หรือ ?