ผบช.ภ.7 แถลงผลงาน 2 คดีรวด รวบมือยิงคู่กรณีอุกอาจสนามชนไก่ดอนตูม ได้ภายใน 12 ชม.หลังก่อเหตุ -พร้อมตามล่ารวบขบวนการค้ายา ของกลางเพียบ
วันที่ 11 ต.ค. 66 เวลา 11.00 น.ที่ สภ.ดอนตูม ต.สามง่าม อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผบช.ภ.7 แถลงว่า ตนพร้อมด้วยพล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7,พล.ต.ต.จักรกฤษ เครือสุนทรวานิช ผบก.ภ.จว.นครปฐม ,พล.ต.ต.ประสพชัย มัตสยะวนิชกูล
ผบก.สส.ภ.7,พ.ต.อ.พงษกร อุปพงษ์ รองผบก.ภ.จว.นครปฐม,พ.ต.อ.พงษ์สวัสดิ์ คำปาเชื้อ รอง ผบก.ภ.จว.นครปฐม
,พ.ต.อ.ทินกร รังรื่น รรท.ผกก.สภ.ดอนตูม,พ.ต.อ.ณัฐพิสิษฐ์ รัตนอุดมพล ผกก.กก.1บก.สส.ภ.7และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ได้แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหา ตามหมายจับ ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ รวม 2 ราย ได้แก่ นายสรศักดิ์ เหล่างาม อายุ 34 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 536/2566 และ นายดนุชเดช ฉายทองคำ 24 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนครปฐม ที่ 537/2566
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหากระทำผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษหรือไม่ให้ต้องโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม”
พร้อมของกลางจำนวน 2 รายการ ได้แก่ รถยนต์ โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว ทะเบียน กล3000 นครปฐม (ที่ใช้ในการหลบหนี) 1 คัน และได้ทำการยึดปืน Glock 26 ขนาด 9 มม. หมายเลขทะเบียนปืน กท 5248599 หมายเลขประจำปืน NUK109 จำนวน 1 กระบอก มาเพื่อทำการตรวจเปรียบเทียบ
พล.ต.ท.ธนายุตม์ แถลงต่ออีกว่า สำหรับพฤติการณ์แห่งคดี ด้วยเมื่อวันที่ 8 ตุลาคม 2566 เวลา ประมาณ 17.50 น. สภ.ดอนตูม ได้รับแจ้งเหตุ เกิดเหตุทะเลาะวิวาทภายในสนามชนไก่วรวิช เลขที่ 65 หมู่ 10 ต.ดอนพุทรา อ.ดอนตูม จ.นครปฐม มีผู้ถูกอาวุธปืนยิงได้รับบาดเจ็บถูกนำตัวส่ง ร.พ.ดอนตูมจึงรายงานผู้บังคับบัญชา และร่วมกับเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุ ต่อมาผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตที่ รพ.ดอนตูม
จากการตรวจสอบ สนามชนไก่ วรวิช มีนายวรวิช อินทร์เหยี่ยว เป็นเจ้าของสนามไก่ชน ได้รับอนุญาตให้มีการเล่นการพนัน ให้สัตว์ต่อสู้กัน ตามใบอนุญาตเลขที่ 57/2566 อนุญาตให้จัดการแข่งขันในวันที่ 8 ต.ค. 66 และ 30 ต.ค. 66 ออกให้ ณ อำเภอดอนตูม ไว้ ณ วันที่ 2 ต.ค. 66 ตั้งแต่ เวลา 07.00 ถึง เวลา 19.00 น.
จากการสืบสวนทราบว่านายเบ็น เหล่างาม เป็นผู้ก่อเหตุยิงดังกล่าว โดยมีนายสรศักดิ์ เหล่างาม และ นายดนุชเดช ฉายทองคำ เป็นผู้พาหลบหนีไปหลังก่อเหตุ โดยรถยนต์ของกลาง จึงรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 รายต่อศาลจังหวัดนครปฐม ซึ่งศาลจังหวัดนครปฐมอนุมัติหมายจับที่ 536-538/2566 ลงวันที่ 10 ต.ค. 66 โดยนายเบ็นฯต้องหาว่า “ฆ่าผู้อื่น, มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และ ยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมชน” ส่วนนายสรศักดิ์ฯ และนายดนุชเดชฯ ต้องหาว่า “ร่วมกันช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องหากระทำผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษหรือไม่ให้ต้องโทษ หรือรับโทษน้อยลง ทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพยานหลักฐานในการกระทำความผิด โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้น หรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใด เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม”
เนื่องจากผู้กลุ่มผู้ต้องหาก่อเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญ และก่อเหตุโดยใช้อาวุธปืน ตำรวจภูธรภาค7 ได้ระดมกำลังทั้งเจ้าหน้าที่สืบสวนภาค7, เจ้าหน้าที่สืบสวนภ.จว.นครปฐม และเจ้าหน้าที่สืบสวนสภ.ดอนตูม ออกสืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด และสามารถตรวจค้นพบรถยนต์ของกลาง เมื่อวันที่ 10 ต.ค. 66
ต่อมาในวันเดียวกันนายสรศักดิ์ฯ และนายดนุชเดชฯ ซึ่งถูกไล่ล่ากดดันค้นหาอย่างหนัก จึงเข้าแสดงตัวต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่เนื่องจากผู้ต้องหาทั้ง 2 รายเป็นบุคคลตามหมายจับ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนสภ.ดอนตูมดำเนินคดีตามกฎหมาย
ส่วนนายเบ็นฯ ผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งกำลังหลบหนีอยู่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ไล่ล่ากดดัน ติดตามตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป บุคคลใดที่ให้ความช่วยเหลือ ให้พำนักแก่ผู้นั้น หรือซ่อนเร้น จะมีความผิดตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องรวบรวมพยานหลักฐานเข้าในสำนวนให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อสามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้อย่างแท้จริง อันจะสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมส่วนรวม ตามคติที่ว่า “คนดีต้องอยู่เย็นเป็นสุข คนร้ายต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์“
ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสูญเสียแก่ครอบครัวพี่น้องตำรวจ
ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจภูธรภาค 7 ได้ฝากถึงประชาชนว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ และขอชมเชยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ จนสามารถติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้ด้วยความรวดเร็ว และขอให้รักษาความดีนี้ไว้สืบต่อไป “ผบช.ภ.7 กล่าว”
วลาต่อมาพล.ต.ท.ธนายุตม์ พร้อมด้วย
เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมแถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหาเครือข่ายยาเสพติด จำนวน 1 ราย ได้แก่ นายพีระพงษ์ หรือโหน่ง วงษ์เวียง อายุ 42 ปี
พร้อมด้วยของกลางในคดี ได้แก่
1. ยาบ้า จำนวน 30,000 เม็ด
2. เฮโรอีน น้ำหนัก 21.221 กิโลกรัม
3. รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Chevrolet รุ่น OPTRA สีเทา หมายเลขทะเบียน กท 237 นครปฐม (ขนยาบ้า)
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “จำหน่ายโดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีนและเฮโรอีน) โดยเป็นการกระทำเพื่อการค้า เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน และมีผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชนทั่วไป”
พฤติการณ์ในการจับกุม
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมเฝ้าติดตามเครือข่ายยาเสพติด ของนายอดิศรฯ ซึ่งเป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดทองผาภูมิในข้อกล่าวหา ร่วมกันจำหน่ายโดยมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) เพื่อการค้าฯ และ ผู้นั้นสมคบกันกระทำผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดฯ
จากการสืบสวนข้อมูลการครอบครองรถยนต์ของนายอดิศรฯ และบุคคลเกี่ยวข้องกับนายอดิศรฯ พบว่า มีรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Chevrolet รุ่น OPTRA สีเทา หมายเลขทะเบียน กท 237 นครปฐม ซึ่งมีชื่อผู้ครอบครองคือ น.ส.จีรวรรณฯ (พี่สาวของนายอดิศรฯ) จึงได้เฝ้าระวังติดตาม
ต่อมาวันที่ 10 ต.ค.66 เวลาประมาณ 16.30 น. พบ รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อ Chevrolet รุ่น OPTRA สีเทา หมายเลขทะเบียน กท 237 นครปฐม ซึ่งเป็นรถยนต์ในเป้าหมายที่เฝ้าติดตาม ขับผ่านจุดตรวจจึงได้ทำการตรวจค้น จับกุม นายพีระพงษ์ หรือโหน่ง วงษ์เวียง พร้อมของกลาง ยาบ้า จำนวน 30,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้เบาะผู้ขับขี่และปกปิดด้วยพรมปูพื้น และ เฮโรอีน น้ำหนัก 21.221 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่บริเวณขอบตัวถัง และ ซุกซ่อนอยู่บริเวณใต้เบาะผู้โดยสารด้านหลัง จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนสภ.ทองผาภูมิดำเนินคดี และได้ทำการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป
ทั้งนี้ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เกี่ยวข้องขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้อง และตรวจยึดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้สามารถดำเนินคดีลงโทษผู้กระทำผิดทุกราย และเส้นทางการเงินของเครือข่ายยาเสพติดอันจะเป็นการแก้ปัญหายาเสพติดในสังคมได้อย่างแท้จริง ตามคติที่ว่า ”คนดีต้องอยู่เย็นเป็นสุข คนร้ายต้องอยู่ร้อนนอนทุกข์“
ได้กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ตามหลักยุทธวิธี เพื่อป้องกันมิให้เกิดความสูญเสียแก่ครอบครัวพี่น้องตำรวจ
ในนามของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและตำรวจภูธรภาค 7 ได้ฝากถึงประชาชนว่าตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ และขอชมเชยเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่ได้ทำงานด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมส่วนรวม และขอให้รักษาความดีนี้ไว้สืบต่อไป
#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์