กลายเป็นประเด็นข่าวกระฉ่อนทั่วประเทศ เมื่อ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโลโนยี(ผบช.สอท.)นำกำลังตำรวจสอท.และตำรวจคอมมานโด นำหมายค้นเข้าค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)เช้าวันที่ 25 กันยายน จับกุมตำรวจใกล้ชิดกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ด้วย 1 นาย หลังพบหลักฐานเส้นทางการเงินของนายตำรวจเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์พนันออนไลน์
วันดังกล่าวทางชุดปฏิบัติการพิเศษสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดยุทธการบิ๊กคลีนนิ่งเดย์กวาดบ้านตำรวจปูพรมค้น 30 จุดในพื้นที่ 6 จังหวัดเป้าหมาย ที่เกี่ยวข้องกับพนันออนไลน์ จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวนหนึ่งพร้อมของกลาง และจับกุมตำรวจใกล้ชิด พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ระดับ”พล.ต.ต.”ยันชั้นประทวน 8 นาย
นับเป็นปรากฏการณ์สะเทือนยุทธจักรสีกากี เพราะไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ที่ ระดับรอง ผบ.ตร.ถูกบุกค้นบ้านโดยไม่ได้ตั้งตัว ผลของคดีจะจบแบบไหนคงต้องติดตามแต่อยากให้มองปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นผลพวงมาจาก ผู้มีอำนาจในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ละเลย กฎกติกาที่ตำรวจใช้บริหารองค์กรมาเกือบ 20 ปี เพราะหลังรัฐประหาร พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. มอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มากำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ในห้วงเวลา 8 ปี ที่แกนนำ คสช.อย่าง พล.อ.ประวิตร และ พล.อ.ประยุทธ์ กำกับสำนักปทุมวัน เกิดปรากฏการณ์ 2 นายตำรวจใกล้ชิดขั้วอำนาจแข่งกันชิงตำแหน่งที่สูงขึ้นนั่นคือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ และพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รองผบ.ตร.
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะโดดเด่นช่วงที่ขยับจากรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา เป็นผู้บังคับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหน้าที่ประสานงานนายกรัฐมนตรี ทั้งที่คุณสมบัติยังไม่ครบ ทำหน้าที่ติดตาม พล.อ.ประวิตร
ด้วยบุคลิกที่สุภาพบริการแบบเต็มร้อยของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จนได้ฉายา”โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” บริการ พล.อ.ประวิตร ตั้งแต่ตื่นนอนยันเข้านอน เป็นที่ถูกใจและไว้วางใจอย่างยิ่ง ถึงขั้นให้ดูบัญชีโยกย้ายตำรวจรวมถึงระเบียบการแต่งตั้ง ก่อนเสนอให้ พล.อ.ประวิตร พิจารณา
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เหมือนพยัคฆ์ติดปีก ชาวสีกากีต่างวิ่งเข้าหาแล้วได้ตำแหน่งสมใจ แต่ละตำแหน่งจะแลกมาด้วยปัจจัยอะไรสุดจะคาดเดา แต่สร้างความพอใจให้ พล.อ.ประวิตรอย่างมาก
ห้วงเวลานั้นตำแหน่ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รุดหน้าอย่างรวดเร็ว มีการแก้ไขระเบียบการแต่งตั้งโยกย้ายที่เอื้อกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เมื่อบรรลุเป้าหมายแล้ว ระเบียบบางอย่างถูกแก้เพื่อสกัดตำรวจรุ่นหลัง
เพื่อความก้าวหน้าที่รวดเร็วมีการผลักดันตั้งกองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(บช.ทท.) ให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขณะนั้นเป็นรองผบช.มานั่งตำแหน่งรักษาการณ์ ผบช. เมื่อ บช.ทท. จัดตั้งเรียบร้อยแล้ว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ แทนที่จะนั่งในตำแหน่ง ผบช.ทท.กลับสไลด์ไปนั่งเป็นผบช.สตม.ที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผลประโยชน์แทน
ทำให้บทบาทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ โดดเด่นขึ้น พล.อ.ประวิตร ยิ่งไว้วางใจกระทั่งมาสะดุดถูกเด้งพ้นวงจรอำนาจไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยข้อครหาว่าการทำบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายปัจจัยมาแลกเปลี่ยน
พลันที่ถูกเด้ง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เดินเกมฟ้องศาลขอความเป็นธรรม รวมทั้งฟ้องพล.อ.ประยุทธ์ เวลาผ่านไปไม่นาน พล.อ.ประยุทธ์ สั่งให้กลับมารับตำแหน่งที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เทียบเท่าผู้ช่วย ผบ.ตร. จากนั้นขยับเป็นผู้ช่วยผบ.ตร.และ รอง ผบ.ตร.มากบารมี มีทีมงานพร้อมเหมือนเดิม
ขณะที่ พล.ต.อ.สุเชษฐ์ ตำแหน่งพุ่งราวจรวด มี พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เป็นคู่แข่งที่ตีคู่กันมาโดยบารมีพี่ชายช่วยผลักดัน ระหว่างนั้น พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ เดินสายโชว์ภาพเข้าถึงผู้ใต้บังคับบัญชา บางครั้งถึงขั้นแบกโลงศพลูกน้องขึ้นเมรุ จนได้ฉายามือปราบสายธรรมะ
แต่การขยับตำแหน่งรวดเร็วยิ่งกว่าพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เพราะ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ใช้เวลาเพียง 6 ปี จากผู้กำกับการ(ผกก.)-รอง ผบ.ตร. ทุกตำแหน่งล้วนได้รับการยกเว้นจากคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ทั้งสิ้น ขณะที่พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ใช้เวลาถึง 14 ปี
แต่ด้วยทั้งสองเป็นบุคคลมากบารมี บรรดาตำรวจต่างวิ่งเข้าหาเพื่อความก้าวหน้า ส่วนใหญ่จะสมดังใจ แม้บางคนจะขัดหลักเกณฑ์ แต่ทั้งสองสามารถช่วยผลักดันได้สำเร็จ
ขณะ ผบ.ตร.อย่าง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ตำรวจคาดหวังว่าจะได้เห็นการพัฒนาองค์กรให้รุดหน้าเพราะอยู่ในตำแหน่งยาวนาน 5 ปี ต่างสิ้นหวังไปตามๆกัน แถมถูกครหาว่าไร้ภาวะผู้นำ ทำได้แค่รักษาเก้าอี้
เช่นเดียวกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่สืบทอดอำนาจต่อจาก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ทำได้เพียงแค่รักษาเก้าอี้
ยิ่งมาถึงยุคของพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ภาพลักษณ์องค์กรยิ่งตกต่ำ มีเรื่องอื้อฉาวตลอดทั้งปีที่นั่งเป็นเจ้าสำนักปทุมวัน
ขณะที่บาทบาทของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ ต่างแย่งซีนการทำงาน มุ่งหวังที่จะเป็นเจ้าสำนักปทุมวัน มีรายการแทงข้างหลังกันเป็นระยะ โดยเฉพาะบทบาทแย่งกันปราบธุรกิจสีเทาทีมีผลประโยชน์มหาศาล แบบไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่
การบุกค้นบ้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เป็นเกมหนึ่งในการปราบธุรกิจสีเทา เพียงแต่คนลงมือก่อนได้เปรียบ จน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกมาประกาศว่า
”ผมจะไม่เอาคืนแต่มีข้อมูลอยู่มากถ้าเปิดเผยเมื่อไหร่ก็ตามกันหมดทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ”
เมื่อมองบริบทโดยรวมคงจะปฎิเสธไม่ได้ว่าตลอดเวลากว่า 8 ปีที่คสช.ครองอำนาจ ทำองค์กรตำรวจเสื่อมทรุด ตำรวจเสียขวัญกำลังใจ จำนวนมากยุติอาชีพตำรวจด้วยการยื่นใบลาออก เนื่องเพราะว่าผู้มีอำนาจทั้งในและนอกรัฐบาลใช้วิธีพิเศษผลักดันคนของตัวเองให้ได้ครองอำนาจซึ่งกรณีของ”พล.ต.อ.สุรเชษฐ์”และ”พล.ต.อ.ต่อศักดิ์”สะท้อนความจริงได้ดีที่สุด
ที่สำคัญแนวทางละเลยกฎกติกานี้ ถูก นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานก.ตร.และก.ตร.บางคนเลือกเดินแล้ว ด้วยการโหวตให้รองผบ.ตร.อาวุโสอันดับสุดท้ายที่มาด้วยวิธีพิเศษ เป็น”ผบ.ตร.”แล้ว
ดังนั้นความคาดหวังที่ตำรวจส่วนใหญ่มุ่งหวังให้รัฐบาลใหม่ จะช่วยกู้ขวัญกำลังใจและภาพลักษณ์ที่ดิ่งเหวให้กลับคืนมาต้องไร้ความหวังดังเดิม !!!