แสงพลุ”มูโนะ”ฉายสารพัดเส้นทางเถื่อน

ปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัด3จังหวัดชายแดนใต้ ถูกประชาชนจับตามองเป็นพิเศษอีกคำรบหนึ่ง เมื่อโกดังเก็บพลุ ใน ต.มูโนะ อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เกิดระเบิดรุนแรง ช่วงบ่ายวันที่ 29 กรกฎาคม บ้านเรือนราพณาสูร ชาวบ้านบาดเจ็บล้มตายเดือดร้อนนับพันคน
พลันที่แสงพลุดับควันจางลงเพียงเวลาข้ามวัน ข่าวสารถูกนำเสนอในหลากหลายประเด็นไม่ว่าจะเป็นความเดือดร้อนของชาวบ้าน รวมถึงประเด็นความหย่อนยานในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้ารัฐ โดยเฉพาะประเด็นส่วยชาวบ้านขุดขึ้นมาแฉว่าเกือบทุกหน่วยในพื้นที่มีการเรียกเก็บส่วยรายเดือน ร้านเล็กจ่าย 500 บาท ร้านใหญ่หลักพันถึงหลักหมื่น ไม่เว้นแม้แต่อส.ที่มีฐานอยู่ในมูโนะ
แต่เป้าที่ถูกวิจารณ์หนักสุดคือองค์กรตำรวจ เพราะมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายโดยตรง แต่กลับละเลยออกปฏิบัติการเดินเก็บส่วยส่งให้ผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นแทนบังคับใช้กฎหมาย
โดยเฉพาะกรณีของจ่าสังกัดโรงพักมูโนะ คนในพื้นที่ เคยร้องเรียนหน่วยงานต่างๆให้ตรวจสอบก็ไร้การตอบสนอง
เมื่อเกิดโศกนาฏกรรม ดูเหมือนว่าพล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ก็ยังนิ่งเฉยอ้างรอผลสอบสวน จนถูกสังคมรุมประณามและกดดัน
จึงมีคำสั่งย้ายด่วน 4 เสือโรงพักมูโนะ พร้อมตั้งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.เป็นหัวหน้าตรวจสอบส่วยพลุมูโนะระเบิด ซึ่งพล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยอมรับว่าส่วยมีจริง ถ้าบอกว่าไม่มีเหมือนโกหก
หากมองในความเป็นจริง การสั่งย้ายและตั้งกรรมการสอบสวนไม่ควรจะมีแค่ 4 เสือและจ่าเก็บส่วย เพราะเป็นที่ทราบกันดีในแวดวงสีกากีว่าส่วยที่เก็บ ถูกส่งต่อกันไปตามลำดับชั้น
ดังนั้นเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับตำรวจทั้ง 5 นาย ผบ.ตร.ควรมีคำสั่งย้ายผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นมาออกนอกพื้นที่ด้วยเพื่อให้การสอบสวนเกิดความกระจ่าง อย่าเกียร์ว่างนั่งนับรอวันเกษียณอายุ
นี่คือผลประโยชน์เพียงเสี้ยวหนึ่งบนเส้นทางเถื่อนที่เจ้าหน้ารัฐไม่ว่า ทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวกับความมั่นคงเก็บดอกผลบนคราบน้ำตาลของชาวบ้านใน 3จังหวัดแดนใต้
ครั้นมาส่งผลประโยชน์ในทางที่ชอบธรรม 3 จังหวัดชายแดนใต้ ก็คือพื้นที่ที่บรรดาบิ๊กข้าราชการ นักการเมือง มีไว้ปูทางส่งลูกน้องในสังกัดก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น
ขอยกตัวอย่างในแวดวงสีกากี แต่เดิม 3 จังหวัดชายแดนใต้และ 4 อำเภอของสงขลา คือ เทพา นาทวี จะนะ และสะบ้าย้อย ตำรวจในพื้นที่ที่เกษียณจะได้อายุราชการทวีคูณ
ต่อมาบรรดาบิ๊กตำรวจหัวใสกลับออกระเบียบให้นำเอาอายุราชการทวีคูณมาปรับใช้จัดลำดับอาวุโส ด้วยการอ้างว่าตำรวจเหล่านั้นเสียสละ เสี่ยงภัย ต้องปูนบำเหน็จให้เป็นพิเศษ
ส่งผลตำรวจที่อยู่นอกพื้นที่ถูกเบียดลำดับอาวุโสอย่างไม่เป็นธรรม เพราะต่างทราบกันดีว่าตำรวจที่มีนายระดับบิ๊กมิได้เสี่ยงตามที่อ้างเพราะส่วนใหญ่จะประจำที่กองบัญชาการ(บช.) กองบังคับการ(บก.)หรือฝ่ายอำนวยการ แล้วได้อายุราชการทวีคูณ
ตำรวจบางนายเส้นสายดี ก็เหาะข้ามบช.ไปเสียบยอด สกัดการเติบโตของตำรวจที่เสี่ยงภัยจริงๆ พอได้ตำแหน่งก็ขยับขึ้นเรื่อยๆเมื่อจังหวะดีนายก็ย้ายกลับมาพร้อมอาวุโสและตำแหน่งที่สูงขึ้น
ไม่เว้นแม้ระดับนายพลตำรวจ ก็ใช้วิธีให้หน่วยงานทหารขอตัวไปช่วยราชการแล้วนำอายุราชการมานับอาวุโสเพื่อชิงตำแหน่งระดับบริหารของสำนักปทุมวัน
ซึ่งกรณีนับอายุราชการทวีคูณ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็เคยได้อนิสงค์นี้ เมื่อครั้งย้ายไปเป็นผกก.สภ.หาดใหญ่ เพียง 6 เดือน ได้รับคัดเลือกเป็นผกก.โรงพักดีเด่น แบบมีข้อกังขา สมัยที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา เป็นผบช.ภ.9 ตำแหน่งก็ปรับโดยอัตโนมัตินั่งรองผบก.ภ.จว.สงขลา
พล.ต.ท.จักรทิพย์ยศ ขณะนั้นก็มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.สุรเชษฐ์ ยศขณะนั้น ไปเป็นหัวหน้าศูนย์ปฎิบัติการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลาส่วนหน้ารับผิดชอบ 4 อำเภอ แค่ชั่วข้ามปีก็ได้อายุราชทวีคูณก็ขยับเป็นผบก.
ต่อมาเมื่อบรรดาเด็กในสังกัดบรรดาบิ๊กการเมืองและบิ๊กตำรวจสมหวังกันถ้วนหน้าก็เกิดอาการหวาดหวั่นว่าหากปล่อยอายุราชการทวีคูณนำมานับอาวุโสได้ เกรงว่าจะมีตำรวจรุ่นใหม่วัดรอยเท้ามาเบียดนำพวกตัวเอง บันไดไต่เต้านี้ก็ถูกทลายลง แต่ให้นับอายุทวีคูณเมื่อเกษียณอายุราชการเท่านั้น
เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดแดนใต้ คือบ่อผลประโยชน์ที่เจ้าหน้ารัฐสามารถกอบโกยได้ทั้งบนดินและใต้ดิน
จึงอย่าแปลกใจเมื่อเห็นท่าทีของ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผบ.ตร. แอคชั่นแบบพื้นๆต่อเหตุโกดังพลุระเบิดที่มูโนะ เพราะหากแอ็คชั่นแรงๆก็จะเข้าทำนองยิกเล็บเจ็บเนื้อ
“ดังนั้นแสงพุลที่มูโนะก็เป็นแค่แสงที่ฉายให้เห็นเส้นทางเถื่อน อันเป็นบ่อผลประโยชน์ของผู้มีอำนาจรัฐแค่วูบเดียวแล้วก็จางหายไป ท่ามกลางความสูญเสียและคราบน้ำตาของชาวบ้าน”
เมื่อกาลเวลาทอดยาวกลืนกินความทรงจำเส้นทางเถื่อนก็จะกลับมาทอดยาวดังเดิม !!!


