“เลิกเกณฑ์ทหาร-เลิกส่วย”
การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ที่มีพรรคก้าวไกล เป็นแกนนำก็ยังคงลุ้นด้วยความระทึกของบรรดาแฟนคลับก้าวไกล

แม้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะเดินสายพบปะกลุ่มต่างๆหลังลงบันทึกความเข้าใจหรือเอ็มโอยูกับพรรคที่จะร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลด้วยเสียงสนับสนุนกว่า 300 เสียงก็ตาม
“แต่ความไม่แน่นอนในสถานการณ์ทางการเมืองไทยย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะนับแต่เกิดการก่อรัฐประหารภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การเมืองไทยก็อยู่ในสถานการณ์ที่ผิดปกติมาโดยตลอด”
ซึ่งปัจจัยสำคัญคือการอยากสืบทอดอำนาจของฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้ยาวนานที่สุด โดยใช้รัฐธรรมนูญปี 2560 เป็นเครื่องมือในการยึดกุมอำนาจ
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ ถูกคณะกรรมการฯยกร่างได้ใช้ความแยบยลในเชิงกฎหมายวางกลเกมและกับดักไว้มากมายเพื่อเจาะยางฝ่ายตรงข้ามโอกาสที่นายพิธาจะพลาดพลั้งเป็นได้แค่แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปได้สูง
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะสุญญากาศทางอำนาจยาวนาน โอกาสคงจะตกมาถึงมือพรรคเพื่อไทย ในฐานะพรรคอันดับ 2 ยืนหนึ่งในการจัดตั้งรัฐบาลแทน หากพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ โอกาสที่ก้าวไกลจะกลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็เป็นไปได้สูง
เพราะถ้าจับความเคลื่อนไหวของสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าท่าทีของส.ว.จะมีความสุขในการโหวตให้เพื่อไทยโดยไร้ก้าวไกล เป็นพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่า
“แต่ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยหรือก้าวไกล เป็นแกนนำรัฐบาล กองทัพอาจจะไม่ปลื้มนัก เพราะสองพรรคมีนโยบายเหมือนกันคือยกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้วมาใช้ระบบสมัครใจแทน พร้อมวางแนวทางปรับปรุงสวัสดิการด้านต่างๆของทหารเกณฑ์ให้ดีขึ้นถึงขั้นสามารถปรับเป็นกำลังพลถาวรได้”
นโยบายแบบนี้บรรดาบิ๊กๆในกองทัพน่าเป็นปลื้มเพราะได้คนที่เต็มอกเต็มใจมาเป็นกำลังพล เป็นผลดีกับกองทัพ ควรประสานเสียงตอบรับ แต่ผลกลับเป็นในทางตรงข้าม แม้แต่พล.อ.ประยุทธ์เองก็ไม่ปลื้มนัก เพราะระหว่างลงพื้นที่หาเสียงก็ยกนโยบายนี้ขึ้นมาวิจารณ์ในเชิงตำหนิและคัคค้าน
หากย้อนดูความเป็นจริงในสังคมไทยหลายสิบปีที่ผ่านมาจะพบความจริงอย่างหนึ่งว่าในช่วงที่ทางกองทัพประกาศเกณฑ์ทหาร จะพบความเคลื่อนไหวของชาวบ้านที่ไม่ต้องการให้ลูกชายไปเป็นทหารเกณฑ์ ด้วยการวิ่งเต้นเข้าหาผู้มีอิทธิพลในพื้นที่เพื่อต่อสายไปถึงผู้มีอำนาจที่สามารถชี้เป็นชี้ตายไม่ต้องเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้าตรวจเลือกแล้วไม่ถูกเลือกพร้อมได้หลักฐานว่าได้ผ่านเกณฑ์ทหารแล้ว
เมื่อมีการวิ่งเต้นเพื่อประโยชน์ของตัวเอง สัจธรรมที่ว่า”โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี”จะอธิบายความกรณีได้ดีที่สุด มีการกล่าวกันว่าเมื่อถึงเวลาใกล้เกณฑ์ทหารสัสดีอำเภอ สัสดีจังหวัด หรือผู้มีอำนาจในกองทัพภาคต่างๆที่ดูแลการเกณฑ์ทหาร จะมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง
แม้ทางกองทัพจะประกาศออกมาว่าการเกณฑ์ทหารจะต้องตรงไปตรงมา ไม่มีการทุจริต ก็เป็นแค่ประกาศให้ดูดีเท่านั้น เพราะเมื่อถึงเวลาจริงๆก็มักมีเสียงนินทาออกมาให้ได้ยินเสมอว่าถ้าจังหวัดไหนหรืออำเภอไหนที่เศรษฐกิจดี ชาวบ้านอยู่ดีกินดี ราคาก็จะพุ่งตามไปด้วย อาจจะอยู่ที่หลักหลายหมื่นถึงหลักแสน
ถ้าเป็นพื้นที่ที่เศรษฐกิจปานกลางถึงไม่ค่อยดีก็จะยังอยู่ในหลักหมื่นในแวดวงของสัสดีก็จะทราบกันเป็นอย่างดีว่า หากนายตัวเองมีอำนาจจะสามารถเลือกพื้นที่ทำเลทองได้และผลประโยชน์ที่ได้รับก็จะกระจายขึ้นไปเป็นลำดับชั้น เมื่อหมดวาระการเกณฑ์ทหารในแต่ละปีก็จะมีเสียงครหาในแวดดวงทหารว่าพื้นนี้เข้าเป้า บางพื้นที่ไม่เข้าเป้าเพราะมีคนแห่สมัคร
ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ไม่ทราบว่าหน่วยข่าวรัฐไม่ว่าจะเป็นของกระทรวงมหาดไทย ตำรวจสันติบาล ข่าวกรองแห่งชาติ หน่วยข่าวของสามเหล่าทัพและกอ.รมน.ได้ฟังได้ยินและรับทราบมาบ้างหรือไม่ แต่ถ้าไม่ทราบไม่รู้เรื่องก็ควรเรียกกลับกรมกองหรือต้นสังกัดพร้อมกับสั่งยุบหน่วยงาน เพราะอยู่ไปก็เปลืองภาษีชาวบ้าน เพราะข่าวลักษณะนี้คงปฎิเสธไม่ได้ว่าชาวบ้านเกือบทุกหัวระแหงต่างทราบกันดี
ดังนั้นอาการไม่ปลื้มของบรรดาบิ๊กๆกองทัพ เมื่อพรรคการเมืองประกาศยกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้วเปลี่ยนมาสมัครใจ มาจากสาเหตุดังกล่าวข้างต้นหรือไม่
ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ แต่ขอให้บรรดาบิ๊กๆทั้งหลายลองตอบตัวเองดูก็พอว่าใช่หรือไม่ .?แต่ถ้านโยบายเลิกเกณฑ์ทหารถูกยกจริงคำว่า”เลิกเกณฑ์เท่ากับเลิกส่วย” คงไม่เกินจริง !!


