“ยืนเด่นโดยท้าทาย

ผลการเลือกตั้งสมาชิสภาผู้แทนราษฎรหักปากเซียนการเมืองแบบกระจุยกระจาย

เมื่อพรรคก้าวไกลได้ส.ส.อันดับ 1 จำนวน  152 เสียง ตามด้วยเพื่อไทยที่ประกาศแลนด์สไลด์แต่ได้แค่อันดับสอง 141 เสียง พรรคก้าวไกลกลายเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในฐานะพรรคอันดับ 1  ไปโดยปริยาย พร้อมเดินสายทาบทาม พรรคเพื่อไทย  ประชาชาติ ไทยสร้างไทย เสรีรวมไทย เป็นธรรม และพรรคพลังสังคมใหม่ รวบรวมได้ 311 เสียง  

 หากเป็นการเมืองแบบปกติมีรัฐธรรมนูญที่ไม่ถูกพวกอนุรักษ์นิยมออกแบบวางกลเกมและกับดักเพื่อสะกัดพรรคฝ่ายประชาธิปไตยไว้เส้นทางสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”จะดำเนินไปด้วยความราบรื่น แต่ด้วยกับดักที่ถูกวางไว้ค่อนข้างถี่ เส้นทางสู่ทำเนียบของ”พิธา”ดูเหมือนจะยากกว่าปีนขึ้นสู่ยอดสูงสุดของเทือกเขาหิมาลัย
 
เพราะเพียงแค่รู้ผลว่าพรรคก้าวไกล ชนะเลือกตั้งเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กระแสต่อต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็เกิดขึ้นทันทีผ่านทั้งทางสื่อกระแสหลักและสื่อโซเซียล โดยเฉพาะบทบาทของ 250 สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)มาจากการลากตั้งของคณะรัฐประหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา  
   
ซึ่ง ส.ว.กลุ่มนี้พร้อมตลอดเวลาที่จะตอบแทนบุญคุณคอยค้ำบัลลังก์นายกฯและรับบทหนังหน้าไฟคอยปกป้องเมื่อ”บิ๊กตู่”เพลี่ยงพล้ำแบบไม่ลืมหูลืมตาในห้วงที่”พิธา”กำลังเดินเกมประสานเพื่อจัดตั้งรัฐบาล ส.ว.บางกลุ่มเริ่มกระบวนการเจาะยางเคลื่อนไหวผ่านคณะกรรมาธิการ(กมธ.)การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน
 

ซึ่งกมธ.ชุดดังกล่าวหารือจนได้ข้อสรุปว่าจะยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)พิจารณาคุณสมบัติของนายพิธา ใน 3 ประเด็นคือ 1.การครอบงำพรรค 2.การถือหุ้นสื่อและ 3.การจงใจละเมิดต่อสถาบันนายจเด็จ อินสว่าง ส.ว.ยืนยันว่าทั้ง 3 ประเด็นจะรวบรวมให้เสร็จภายใน 1 เดือน พร้อมยื่นให้กกต.ดำเนินการ ก่อนที่กกต.จะประกาศผลภายใน 60 วัน
 
ซึ่งบรรดาส.ว.ที่อยู่ในกมธ.ชุดนี้ต่างแสดงจุดยืนไม่เลือก นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรี แม้จะรวบรวมเสียงส.ส.ในสภาได้เกิน 250 เสียงก็ตาม ขณะที่ส.ว.โดยตำแหน่งประกอบด้วย ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และปลัดกระทรวงกลาโหม ต่างแสดงจุดยืนงดออกเสียง อ้างว่าจะลงมติที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง  เท่ากับทางปิดตายสำหรับเก้าอี้นายกฯของ”พิธา”
 
ขณะเดียวกันก็มี ส.ว.ที่ลากตั้งบางกลุ่มก็ปิดตายเช่นกัน โดยยกท่าทีของส.ส.พรรคก้าวไกลมาอ้างว่าไม่มีสัมมาคารวะ ในสภาก็โจมตีดิสเตรดิตส.ว.ตลอดมา ในส่วนที่แสดงจุดยืนโหวตให้”พิธา” ณ เวลานี้ที่พอจับเค้าได้ก็มีประมาณ 11 คน แต่ก็มีบางคนอ้างว่าถ้าสังคมบีบมากก็จะสวนกระแสเพราะไม่ชอบให้กระแสมาบังคับ ทั้งที่ตัวเองชอบโหนกระแสให้เด่นดังมาโดยตลอดนี่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเส้นทางของ”พิธา”ก็สาหัสแล้วหากปมถือหุ้นสื่อถึงศาลรัฐธรรมนูญเมื่อใด ก็สุดจะคาดเดา

แต่ทำให้หวนระลึกถึงสมัยนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ถูกร้องศาลรัฐธรรมนูญว่ารับจ้างเป็นพิธีกรบรรยายโชว์การทำกับข้าวออกทีวีก็กระเด็นตกเก้าอี้นายกฯแล้วทางกลับกันมีตุลาการบางคนถูกเชิญไปบรรยาย เมื่อบรรยายเสร็จก็เซ็นรับค่าจ้าง เมื่อมีการ้องเรียนผลปรากฏว่าไม่ผิดเพราะการบรรยายเป็นการให้ความรู้เป็นวิทยาทาน
 
ดังนั้นหากปมถือหุ้นสื่อและปมจงใจละเมิดสถาบัน ที่ส.ว.กล่าวหา”พิธา”ถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาด ผลจะเป็นอย่างไรก็น่าจะคาดเดาได้ นอกจากด่าน ส.ว.แล้ว”พิธา”และพรรคก้าวไกล ก็ถูกตามเช็คบิลจากบรรดานักร้องเรียนอีกหลายเรื่องที่ร้องคาไว้ทั้งที่ กกต. ศาลรัฐธรรมนูญและ ป.ป.ช.
 

ครั้นหันมามองในพรรคการเมืองที่อยู่ในซีกรัฐบาลเก่าต่างแสดงท่าทีไม่ค่อยเป็นมิตรกับพรรคก้าวไกลและนายพิธานัก โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ออกแถลงการณ์แสดงจุดยืนไม่สนับสนุนแคนดิเดตนายกฯของพรรคที่มีนโยบายแก้ไขหรือยกเลิกม.112 รวมถึงแกนนำของพรรครวมไทยสร้างชาติก็แสดงจุดยืนที่คล้ายกัน
   
หากจับอากัปกริยาของบรรดา ส.ว.และพรรคการเมืองซีกรัฐบาลเก่าแล้ว จะเห็นได้ว้าเส้นทางของ”พิธา ลิ้มเจริญรัตน์”เต็มไปด้วยอุปสรรคฝากหนาม แม้จะมี 310 ส.ส.คอยเป็นหลังให้พิงก็ตาม” ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียจุดยืนที่ชาวบ้านกว่า 14 ล้านเสียงเทให้กับก้าวไกลบวกกับพรรคแนวร่วมอีกกว่า 12 ล้านเสียง เมื่อการเจรจาเพื่อขอเสียงกับกลุ่มอำนาจเก่าไม่บรรลุผลครบ 376 เสียง  
 
อยากให้”พิธา”ยืนเด่นพร้อมประกาศท้าทายกับกลุ่มส.ว.และพรรคซีกรัฐบาลเก่าไปเลย ว่า 25 ล้านเสียงของประชาชนถูก 2 กลุ่มนี้ปฎิเสธหรือไม่ ขอไปพิสูจน์กันในรัฐสภาผลจะออกมาแบบไหน”พิธา”จะติดบ่วงก่อนเข้าสภาฯหรือถูกปฎิเสธในรัฐสภาล้วนน่าติดตาม เพราะผลอาจจะกลายเป็นลิ่มที่ถูกตอกให้แตกแยกและร้าวลึกกว่าเดิม!!


   

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img