หน้าแรกกระบวนการยุติธรรม"ผู้บัญชาการฯ โอ๋" นั่งหัวโต๊ะประชุมบริหาร ภ.7 สั่งกำชับ 10 มาตราการเข้ม

“ผู้บัญชาการฯ โอ๋” นั่งหัวโต๊ะประชุมบริหาร ภ.7 สั่งกำชับ 10 มาตราการเข้ม

เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2565 ที่ห้องประชุม ภ.7 ชั้น 2 อ.เมืองนครปฐม จ.นครปฐ พล.ต.ท.ธนายุตม์ วุฒิจรัสธำรงค์ผบช.ภ.7 เป็นประธานในการประชุมบริหารราชการ ภ.7 ครั้งที่ 5/2565 โดยมี พล.ต.ท.รักษ์จิต หม้อมงคล ผทค.พิเศษ ตร. รรท.รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.อาทิชา เปาอินทร์รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.วัฒนา ยี่จีน รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.บุญญฤทธิ์ รอดมา รอง ผบช.ภ.7, พล.ต.ต.ปรัชญา ประสานสุข รอง ผบช.ภ.7 มี ผบก., รอง ผบก., ผกก. พร้อมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม

ก่อนเริ่มการประชุมได้เป็นประธานมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับ ภ.จว. ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในช่วงสงกรานต์ พ.ศ. 2565 และ มอบประกาศนียบัตรให้แก่ข้าราชการตำรวจตัวแทนตำรวจภูธรภาค 7 ที่เข้าร่วมการแข่งขัน S.W.A.T. Challenge 2022 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.ท.ธนายุตม์ กล่าวว่าได้สั่งการเน้นย้ำให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามข้อสั่งการ ผบ.ตร. รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วย ผบ.ตร. ในการประชุมบริหาร ตร.ครั้งที่ 5/2565 เมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 65 ดังนี้ 1.) การสอบความรู้ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่สายงานป้องกันปราบปราม ในส่วนของ ภ.7 มีผู้สอบไม่ผ่าน จำนวน 133 คน ให้แต่ละ ภ.จว. ต้นสังกัด ไปดำเนินการจัดฝึกอบรมให้กับผู้สอบไม่ผ่านเป็นเวลา 3 วัน และดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย. 65 โดยให้ผู้บังคับบัญชาไปตรวจสอบด้วยว่า สอบไม่ผ่านเนื่องมาจากสาเหตุใด แล้วรายงานให้ ภ.7 ทราบ, 2.) กำชับการดำเนินการตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี ได้แก่-เน้นย้ำนโยบายหลักของนายกรัฐมนตรี ในเรื่องการปราบปราม การค้ามนุษย์, แรงงานต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง, ผู้มีอิทธิพล, มือปืนรับจ้าง, การค้าประเวณี, การทำประมงผิดกฎหมาย, เงินกู้นอกระบบ, ยาเสพติด, เด็กแว้น, นักเรียนยกพวกตีกัน, การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา, การเปิดสถานบริการผิดกฎหมาย , บ่อนการพนัน, การพนันออนไลน์, การแก้ไขปัญหาจราจร และกระทำผิดบนโลกโซเชียล Fake New ต่าง ๆ-กำชับการปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด เมื่อเปิดสถานบริการแล้ว ให้ติดตามดูยอดจำนวนผู้ติดเชื้อ โควิด-19 เพิ่มขึ้นหรือไม่ ให้ทุกหน่วยถือปฏิบัติ ตามที่รัฐมนตรีกำหนดอย่างเคร่งครัดด้วย – ผู้บังคับบัญชาทุกระดับ ต้องห่วงใยในความปลอดภัยของผู้ใต้ บังคับบัญชา ที่ปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยกำชับทุกสถานีตำรวจเร่งดำเนินการฝึกยุทธวิธีตำรวจให้แก่กำลังพลในปกครองอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง ทั้งสายงานป้องกันปราบปราม และสายงานสืบสวน โดยรูปแบบการฝึกจะเป็นการระงับเหตุ เช่น เมาสุราอาละวาด, เมายาอาละวาด, สามี ภรรยา ลูก ทะเลาะกัน เหตุในครอบครัว ทั้งมี อาวุธและไม่มีอาวุธ, บ้านเรือน ร้านค้าติดกัน มีปากเสียงทะเลาะกัน, รถชนกัน รถปาดหน้ากัน ลงมาตีกัน ขับไล่ชนกัน, วัยรุ่นขับรถแข่งกัน ก่อความเดือดร้อนรำคาญ, เหตุชิงทรัพย์ร้านสะดวกซื้อ ร้านทอง, เหตุวิ่งราวทรัพย์, เหตุปลันทรัพย์, เหตุทะเลาะวิวาทกันที่โรงพยาบาล, การปิดล้อมตรวจค้นสารเสพติดชุมชน, การปิดล้อมตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหามีหมายจับ, การขับรถไล่ล่ารถต้องสงสัย รถที่ผู้ต้องหาขับขี่หลบหนี, การหยุดรถต้องสงสัย, การวางแผนล่อซื้อจับกุมยาเสพติด รวมทั้งเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วทำให้เจ้าหน้าที่บาดเจ็บ เสียชีวิต เพื่อไห้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงาน มีความปลอดภัย และลดความสูญเสียต่าง ๆ

3.) การฝึกยุทธวิธีต้องเริ่มต้นที่ฝึกกระบวนการตัดสินใจ วินาทีแรกที่รับแจ้งเหตุ ต้องฝึกการประเมินสถานการณ์ชั้นต้นว่าเป็นเหตุอะไร จะใช้กำลังแบบไหนอย่างไร ฝึกการสื่อสารว่า เหตุประเภทใดที่ผกก., รอง ผกก. และ สว.ต้องรู้ ความเร็วในการไปถึงที่เกิดเหตุก็เป็นปัจจัยสำคัญ ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่จะต้องรู้รวดเร็วที่สุด และการส่งต่อข้อมูลให้ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด เรื่องพวกนี้เกิดในเวลาอันสั้นไม่เกิน 5 นาที สายตรวจ สายสืบ จะต้องมีมาตรฐานการทำงานเป็นมืออาชีพ ยึดหลักความปลอดภัยเป็นที่ตั้ง พร้อมทั้งกำชับให้ผู้บังคับบัญชาระดับกองบังคับการลงมา ช่วยกำกับดูแลและตรวจสอบการฝึกอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นการฝึกประจำสัปดาห์ หรือประจำเดือน ของสถานีตำรวจ ไม่ใช่ฝึกเฉพาะแค่ท่าบุคคลมือเปล่า แต่เป็นการฝึกเรื่องของยุทธวิธีด้วย โดยจะต้องมีการกำหนดมาตรฐาน และการตรวจสอบวัดผลผู้ที่ได้รับการฝึกไปแล้ว และจัดให้มีการแข่งขันประกวดการฝึกยุทธวิธีตำรวจในระดับจังหวัด ทั้งนี้ ตร. ได้จัดฝึกครูแม่ไก่ไปแล้ว จึงขอให้แต่ละกองบังคับการกวดขัน ให้มีการฝึกให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรมให้ได้ ซึ่งศูนย์บริหารงานป้องกันปราบปราม และศูนย์บริหารงานสืบสวน ได้ออกแผนการฝึก รวมถึงแผนการตรวจสอบไปให้แล้ว

4.) กำชับตามหนังสือ สง.จตช. ที่ 0001(จตช)/ว51 ลง 26 ส.ค. 62 เรื่อง ระเบียบ ตร. ที่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติในการเข้าสืบค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร “ให้หน่วยในสังกัดกำชับการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ ได้รับอนุญาตให้เข้าถึงข้อมูล ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบและหนังสือสั่งการของ ตร. ที่ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติไว้แล้วอย่างเคร่งครัด อย่าให้เกิดความบกพร่องนำไปสู่การถูกร้องเรียน ฟ้องร้องให้รับผิดกรณีละเมิดในทางแพ่งหรือทางอาญา หรือถูกฟ้องร้องต่อศาลปกครอง”, 5.) กำชับการเฝ้าระวัง บุคคลพ้นโทษ หรือพักโทษ ที่ได้รับการปล่อยตัว จำนวนเฉลี่ยปีละประมาณ 150,000 คน ซึ่งจากสถิติพบว่าจะกลับมากระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลา 1 ปี ถึงจำนวน 18,000 คน คิดเป็น 13.5% โดยอันดับที่ 1 ได้แก่ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด คิดเป็น 66.3% จึงให้ทุกหน่วยเพิ่มความระมัดระวัง บุคคลพ้นโทษ หรือ พักโทษ หรือผู้ที่ถูกศาลสั่งใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยแทนการลงโทษตามกฎหมายยาเสพติด ในพื้นที่เป็นพิเศษ ให้ประสานกับทางเรือนจำเพื่อเป็นการจัดเก็บประวัติบุคคลพ้นโทษเพื่อประโยชน์ในการสืบสวนสอบสวนในอนาคต

6.) กำชับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนให้เป็นไปตามยุทธวิธี เนื่องจากในระยะที่ผ่านมา ในการเข้าปฏิบัติงานของฝ่ายสืบสวน บางครั้งเกิดความสูญเสียและบาดเจ็บของเจ้าหน้าที่ กรณีนี้ ผบ.ตร. มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงมีนโยบายให้จัดฝึกอบรมทบทวนยุทธวิธีของฝ่ายสืบสวน เพื่อให้มีความรู้ ความชำนาญด้านยุทธวิธีตำรวจ จำนวน 5 รุ่น ๆ ละ 60 คน ได้ทำการเปิดการฝึกอบรมรุ่นที่ 1 แล้ว เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.65 ส่วนรุ่นอื่น ๆ ได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว รายละเอียด ศยก.บช.ศ. จะแจ้งให้ทราบต่อไป

7.) ตร.จะปรับเปลี่ยนการมอบหมายคดีไปยัง บช.ก., บช.สอท. และสน./สภ. ในสังกัด บช.น./ภ.1-9 ใหม่ โดยจะแบ่งคดีคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 คดีออนไลน์ 3 ประเภท จะมอบหมายให้ บช.ก. รับผิดชอบสอบสวน ตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น ได้แก่แชร์ลูกโซ่,หลอกลวงให้ลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล,การเรียกค่าไถ่ทางคอมพิวเตอร์ (Ransomware) กลุ่มที่ 2 คดีออนไลน์ 8 ประเภท คดีที่มีความเชื่อมโยง,สลับซับซ้อน จะมอบหมาย บช.สอท. รับผิดชอบสอบสวนตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้น ได้แก่ ข่าวปลอม (Fake News) และ Hack ระบบคอมพิวเตอร์ -หลอกให้รักแล้วลงทุน (Hybrid Scam),ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้สินค้า (เชื่อมโยง),หลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน,หลอกให้ทำงานออนไลน์ ที่กดไลค์, กดแชร์, หลอกให้ทำภารกิจ ฯลฯ , Call Center ที่ข่มขู่ให้เกิดความกลัว ,ค้ามนุษย์ในรูปแบบขบวนการ,หลอกให้ลงทุนในรูปแบบต่างๆ (เทรดทอง, หุ้น, forex ฯลฯ)คดีออนไลน์ 5 ประเภท ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ไม่มีความเชื่อมโยง จะมอบให้ สน.,สภ. ในสังกัด บช.น.,ภ.1-9 รับผิดชอบทำการสอบสวน ได้แก่ปลอมโปรไฟล์เพื่อหลอกยืมเงิน,หลอกให้รักแล้วโอนเงิน (Romance Scams),ซื้อสินค้าแต่ไม่ได้รับสินค้า (ไม่เชื่อมโยง),ซื้อสินค้าแต่ได้สินค้าไม่ตรงตามโฆษณา,ล่วงละเมิดทางเพศ

ในคดีที่ บช.ก.และบช.สอท. ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทำการสอบสวน ให้ พงส. ของ บช.ก,/บช.สอท. เป็นผู้มีหน้าที่ในการอายัดบัญชีตั้งแต่แถวแรก เป็นต้นไปในคดีที่มอบหมายให้ สน.,สภ. ทำการสอบสวนให้ สน.,สภ. อายัดบัญชีแถวหนึ่งทุกคดี และให้ศปอส.ภ.จว. ไล่เส้นทางการเงิน แถว 2,3,4… ในคดีที่มีความเสียหายไม่เกิน 500,000 บาท และให้ ศปอส.ภ.7 ไล่เส้นทางการเงิน แถว 2,3,4… ในคดีที่มีความเสียหายตั้งแต่ 500,000 บาท ขึ้นไป

แนวทางการดำเนินคดีกับบัญชีม้าปัจจุบันคนร้ายได้ใช้บัญชีธนาคารของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) ในการกระทำความผิด การพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาผู้รับจ้างเปิดบัญชี (บัญชีม้า) ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์และพยานหลักฐานเป็นรายคดี แบ่งเป็น ตัวการร่วมกระทำผิด เช่น ผู้จัดหาบัญชี หรือ ร่วมมีพฤติกรรมในการไปเบิกเงิน กดเงิน ,ผู้สนับสนุน เช่น เจ้าของคนขายบัญชีที่คนร้ายนำไปใช้ จะมีความผิดฐานสนับสนุน ช่วยเหลือ เจ้าของบัญชีจะต้องรู้ หรือควรจะรู้ว่าบัญชีถูกนำไปใช้ในการกระทำผิด ดังนั้น พนักงานสอบสวน จะต้องรวบรวมพยานหลักฐานแสดงให้ศาลเห็นว่าเจ้าของบัญชีรู้ หรือควรจะรู้หรือไม่ตั้งแต่ต้นว่าบัญชีถูกนำไปใช้ในการกระทำผิด

8.) กำชับการปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด (ข้อกำหนด ฉ.45) ลงวันที่ 30 พ.ค. 65 และ ตร. ได้มี วิทยุ ตร. ด่วนที่สุดที่ ศปม5.31/46 ลง 1 มิ.ย. 65 กำชับการปฏิบัติ ดังนี้ให้ทุกหน่วยเข้มงวดกวดขัน ติดตาม กำกับดูแล และตรวจสอบการลักลอบเปิดสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ และคาราโอเกะ ซึ่งยังคงกำหนดให้ปิดการดำเนินการไว้ก่อน ยกเว้น ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่เฝ้าระวัง 14 จังหวัด และพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว 29 จังหวัด (17 จังหวัด และในบางพื้นที่อีก 12 จังหวัด) ซึ่งต้องผ่านมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข และได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่นั้น ๆ,ให้หน่วยที่รับผิดชอบในพื้นที่เฝ้าระวังและพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยว ให้จัดชุดสายตรวจร่วมออกตรวจสอบ สถานบริการ สถานประกอบการ ซึ่งต้องผ่านการตรวจมาตรฐานกระทรวงสาธารณสุข ให้เปิดบริการจำหน่ายและบริโภคได้ไม่เกิน 24.00 น. ต้องได้รับวัคซีนตามเกณฑ์ที่กำหนด รวมทั้งได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้ว ขณะให้บริการจะต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลา ในทุกสัปดาห์ให้มีการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ด้วยชุดตรวจ ATK ประเมินความเสี่ยงของตนเองในแอปพลิเคชั่นไทยเซฟไทย (Thai save Thai) และผู้ประกอบการต้องดำเนินการตรวจคัดกรองผู้ใช้บริการ โดยจะให้บริการได้เฉพาะผู้ใช้บริการที่แสดงหลักฐานว่าได้รับวัคซีนที่กำหนด พร้อมทั้งได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นแล้วเท่านั้น,ให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นควบคุมกำกับดูแลสถานบริการ สถานประกอบการ ผับ บาร์ ให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างเคร่งครัด และกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้ระมัดระวังและเข้มงวดในมาตรการป้องกันตนเอง เพื่อมิให้ติดเชื้อในขณะปฏิบัติงานตลอดเวลา

9.) ปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 ในประเทศไทยมีแนวโน้มดีขึ้น ศบค. จึงมีมติให้เปิดสถานประกอบการที่มีลักษณะสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์ คาราโอเกะ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา ภายใต้การปรับมาตรการเฝ้าระวัง อย่างไรก็ตามการคลายมาตรการต่าง ๆ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้มีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงขึ้น เพื่อป้องกันและลดการแพร่ระบาดของเชื้อโรค จึงขอให้ทุกหน่วย ที่เกี่ยวข้อง สนับสนุนการดำเนินมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในทุกพื้นที่ โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานระดับพื้นที่ในการป้องกันและสกัดกั้นการลักสอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย กำกับดูแล เข้มงวดในมาตรการคัดกรองผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศในทุกช่องทาง และสร้างความตระหนักรู้ให้ข้าราชการตำรวจในปกครองพร้อมครอบครัวปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้จะต้องกวดขัน การดำเนินการของสถานบริการ สถานบันเทิง หรือสถานประกอบการคล้ายกัน ที่ได้รับการผ่อนคลายให้เปิดบริการเฉพาะในพื้นที่นำร่องการท่องเที่ยว และพื้นที่เฝ้าระวัง ให้ปฏิบัติตามมาตรการที่ ศบค. กำหนด รวมทั้งกวดขันการดำเนินการของโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ การแสดงพื้นบ้าน หรือสถานที่ลักษณะเดียวกัน ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดดำเนินการได้ตามปกติ โดยยังคงต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด

10.) เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. 65 ที่ผ่านมา พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562 (Personal Data Protection Act) หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่ากฎหมาย PDPA มีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกฎหมายดังกล่าวมีเจตนารมณ์ในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลไม่ให้ถูกนำไปใช้ประโยชน์ด้านอื่น ๆ และ ป้องกันแก้ไขปัญหาการล่วงละเมิดสิทธิและข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน ซึ่งประชาชนและข้าราชตำรวจจำนวนมากยังขาดความเข้าใจในตัวกฎหมาย เนื่องจากเป็นกฎหมายใหม่ที่เพิ่งจะบังคับใช้ อีกทั้งยังพบการส่งต่อข้อความ ที่มีความคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกฎหมายดังกล่าวทางสื่อสังคมออนไลน์ เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด จึงขอให้หัวหน้าสถานีตำรวจ สร้างการรับรู้ให้กับกำลังพลในปกครองได้เข้าใจประเด็นสำคัญของกฎหมายดังกล่าว อาทิ การถ่ายภาพหรือคลิปวิดีโอที่ติดภาพของบุคคลอื่นโดยไม่เจตนาและไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายกับบุคคลที่ถูกถ่าย หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว สามารถทำได้ ,การโพสต์ภาพหรือคลิปวิดีโอที่ติดภาพของบุคคลอื่นในสื่อสังคมออนไลน์ หากทำเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่แสวงหากำไรทางการค้า และไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย สามารถทำได้, การติดกล้องวงจรปิดภายในบ้าน ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือนหากติดเพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย,การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ ไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมก่อน ในกรณีเป็นการทำตามสัญญา, เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ, เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิต หรือร่างกายของบุคคล, เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ, เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการใช้เพื่อปกป้องประโยชน์หรือสิทธิของตน

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img