ที่ ห้องเพทาย รร.รัตนโกสินทร์ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และมูลนิธิพฤษภาประชาธรรม จัดงานเสวนาหัวข้อ “วิสัยทัศน์ผู้นำพรรคการเมื
นายสรอรรถ กลิ่นประทุม แกนนำพรรคภูมิใจไทยและอดีต ส.ส. พรรคภูมิใจไทย กล่าวตอนหนึ่ง ต่อคำถามที่ว่า ในอนาคตพรรคภูมิใจไทยจะจับมือกับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หรือไม่นั้น ตนขอพูดด้วยความเห็นส่วนตัว ว่าตนขอพูดด้วยความเห็นส่วนตัวว่า คำถามนี้เร็วไป โดยธรรมชาติ เรื่องการเมืองจะคุยกันหลังเลือกตั้ง ทั้งนี้ขอย้ำว่าทุกอย่างเป็นไปตามกติกา ระบบการเลือกตั้ง ถ้าเข้ามาตามครรลองถูกต้อง ย่อมไม่มีใครปฏิเสธ เพราะเวลาเลือกตั้งไม่มีพรรคทหาร พรรคเผด็จการ เพราะทุกคนเข้าสู่การเลือกตั้ง ดังนั้นอย่าไปตีกรอบให้ติดกับดักตนเอง เพราะนำไปสู่ทางตัน
“แต่ผมคิดว่าวันนี้นักการเมืองสามารถตกลงกันได้ แม้ว่าเราจะเป็นพรรคเล็ก แต่การเมืองในมิติใหม่ ไม่มีข้อจำกัด อย่างที่เคยมีคนบอกว่าพรรคการเมือง ลำดับ1 หรือ2 จะทำงานร่วมกันไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าโอกาสเป็นไปได้ ถ้ามีเหตุผลเหมาะสมพอ เราอยากเห็นบรรยากาศที่พรรคการเมืองคุยด้วยกันจะเป็นทางออกที่ดีในระบอบประชาธิปไตย” นายสรอรรถ กล่าว
นายสรอรรถ กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ถ้าได้เข้ามาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลจะแก้ไหม ตนเข้าใจว่าแก้ไม่ได้ พอมาเป็นรัฐบาลจะทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่เหตุผลที่พรรคการเมืองจะมาอ้าง ถ้าเป็นนักการเมือง กติกาเขียนไงว่าไปตามนั้น แต่มันไม่คล่อง แม้ว่านโยบายที่เราประกาศเพื่อให้ประชาชนจะเลือกเรา แต่วันนี้มีข้อจำกัด เพราะต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตนอยากถามว่าเขามีความรู้มากกว่าพรรคหรือไม่ ดังนั้น ขอให้ประชาชนเข้าใจว่า เรามีข้อจำกัด ไม่มีอิสระเหมือนอดีตที่ผ่านมา
“ข้อสงสัยว่าภูมิใจไทยจะจับมือกับพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องกับ คสช.ก่อนหรือหลังการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ส่วนตัวเห็นว่า คำถามนี้เร็วไปหน่อย ตามธรรมชาติแล้วต้องคุยกันหลังเลือกตั้ง หากจะบอกจับหรือไม่จับพรรคไหน พอคะแนนออกมาเกิดน้อย ก็คงละเรื่องกัน หากเป็นพรรคใหญ่จะชี้ชัดได้ แต่ภูมิใจไทยไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามครรลองการเลือกตั้ง” นายสรอรรถ กล่าว
นายสรอรรถ ยังมองถึงการสานต่อการปฏิรูปประเทศว่า การวางกรอบปฏิรูป 20 ปี เป็นสิ่งที่ยาวนานมาก และการปรับเปลี่ยนแผนการปฏิรูปก็ยังทำได้ยาก แต่การปฏิรูปที่ควรเริ่มดำเนินการก่อน คือ การปฏิรูปด้านการศึกษา เพื่อยกระดับความรู้ของประชาชน ส่วนแนวคิดการแก้รัฐธรรมนูญ และแผนยุทธศาสตร์ชาติในอนาคตนั้น นายสรอรรถ เห็นว่า เมื่อกติกาเป็นเช่นใดก็ต้องดำเนินการไปเช่นนั้น แต่เมื่อกติกาจำกัดก็ต้องอธิบายให้ประชาชนเข้าใจว่ามีข้อจำกัด ไม่ควรนำมาเป็นข้ออ้างว่ากฎหมายมาเป็นตัวจำกัดทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้
นายสรอรรถ ยังมองสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างรสช. กับ คสช. ว่าเป็นการทำให้ระบบการเมืองหยุดชะงัก และด้วยเวลาที่ทอดยาวเกินไป ทำให้ประชาชนมองนักการเมืองว่าไม่น่าเชื่อถือ จึงเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองและนักการเมืองจะต้องเรียกศรัทธากลับคืนมา และเชื่อว่ายังมีคนอีกกว่า 7 ล้านคนที่จะเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งครั้งแรก ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดสถานการณ์หลังการเลือกตั้ง ส่วนศรัทธานักการเมืองจะเรียกกลับมาได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเลือกผู้สมัครของแต่พรรคการเมืองที่จะส่งลงสมัครเลือกตั้งในครั้งหน้าเพื่อให้ประชาชนได้ตัดสินใจ