พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว(รอง ผบช.ทท.) พร้อมตำรวจ 191 แถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา2ราย ประกอบด้วย 1. น.ส.อภิณห์พร พงษ์ปรีชาวงศ์ อายุ47 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 796/2561 ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนและนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ทำให้ผู้อื่นเกิดความเสียหาย 2.นายสนธยา โพธิ์ศรี อายุ35 ปี ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงชนบุรี ที่ จ.60/2561 ความผิดฐานร่วมกันช่อโกง
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สำหรับพฤติการณ์ นายสนธยา จะเปิดเป็นบริษัทนำเที่ยว โดยตัวเองเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทนำเที่ยวชื่อบริษัท เคพีเอสเวิลด์เซอร์วิส จำกัด พฤติการณ์คือนำนักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวน 33 คนไปเที่ยวเมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่นระหว่างวันที่2- 6 กุมภาพันธ์ 2561 ได้เงินรวมเป็นเงิน 1,184,700บาท ระหว่างกลุ่มผู้เสียหายเดินทางไปญี่ปุ่น และกำลังท่องเที่ยวไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้นั้น เจ้าของรถบัสนำเที่ยวได้ขอเก็บเงินโดยแจ้งว่าบริษัทฯยังไม่จ่ายเงิน จึงขอเก็บเงินกับผู้เสียหาย แต่กลุ่มผู้เสียหายไม่มีเงินให้เพราะจ่ายให้บริษัทนำเที่ยวไปแล้ว จึงถูกปล่อยทิ้งไว้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งและยึดสัมภาระพร้อมหนังสือเดินทาง กลุ่มผู้เสียหายจึงขอความช่วยเหลือจากตำรวจโอซาก้าช่วยติดตามทรัพย์สินคืน และต้องนำเงินส่วนตัวสำรองจ่ายค่าโรงแรมค่ารถค่าอาหารระหว่างรอกลับประเทศไทยรวมเป็นเงินทั้งสิ้น134,738.51 บาท ต่อมาวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 กลุ่มผู้เสียหายได้เดินทางกลับมาประเทศไทยและได้ติดต่อทวงถามค่าใช้จ่ายจากนายสนธยา แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จึงร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.แสนสุข จ.ชลบุรี เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหา จนกระทั่วันที่ 18 เมษายน เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวสามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้
รองผบช.ทท. กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหาอีกรายคือ น.ส.อภิณห์พร ได้หลอกลวงกลุ่มผู้เสียหายรวม 35 คน ผ่านสื่อสังคมออนไลน์อ้างตัวเองว่าเป็นประกอบธุรกิจนำเที่ยว สามารถนำนักท่องเที่ยวไปที่ประเทศตรุกีได้ โดยเสนอโปรแกรมทัวร์9วัน 8คืนในราคาคนละ 31,000 บาท รวมเป็นเงินกว่า1ล้านบาท กำหนดเดินทางวันที่23-31 มีนาคม แต่เมื่อใกล้ถึงวันเดินทาง ตัวแทนบริษัทได้แจ้งว่าไม่สามารถนำทัวร์ไปประเทศตุรกีได้ เนื่องจากไม่ได้วางมัดจำจองตั๋วไว้ ผู้เสียหายจึงทราบว่าตนเองโดนหลอก จึงนัดพูดคุยกับตัวแทนบริษัททัวร์เพื่อขอคืนเงิน แต่ทางแทนบริษัททัวร์ก็บ่ายเบี่ยง จึงมีการแจ้งความดำเนินคดี
“เรื่องนี้เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ผ่านมาตำรวจได้ป้องกัน ปราบปราม จับกุม มาโดยตลอด ยืนยันจะไม่ให้มีการเอารัดเอาเปรียบลูกทัวร์เด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นบริษัทต้องชดใช้เยียวคืนเงินกับผู้เสียหาย ต้องปรึกษากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอีก พยายามสร้างการท่องเที่ยวให้มีคุณภาพ สำหรับผู้ร่วมกับทำความผิดนอกเหนือจากผู้ต้องหา2คน นี้แล้ว คนอื่นที่มีส่วนร่วมไม่ว่าจะเป็นคนขายตั๋ว แคชเชียร์ จะต้องถูกดำเนินคดีทั้งหมด ซึ่งตำรวจได้มีข้อมูลบางส่วนแล้ว ฝากเตือนประชาชนก่อนตัดสินใจซื้อทัวร์ให้ตรวจสอบประวัติการจดทะเบียน เช็คราคา ถ้าราคาถูกเกินไปก็ควรตั้งสติว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน” รองผบช.ทท. กล่าว