ดังนั้น ในฐานะที่ของผู้ควบคุมพรรคและรัฐบาลอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และประธานยุทธศาสตร์พรรคจับตาอยู่ พร้อมแนวร่วม ส.ส.ใน พปชร.ก็เห็นชัดว่า กลุ่ม 4 ยอดกุมารไม่มีความหมายและเป็นสิ่งแปลกปลอมของ พปชร. ไม่มีพวกไม่มีเครือข่าย ที่จะสามารถอยู่ในระบบการเมืองที่ใช้มือ ส.ส.เป็นการสร้างอำนาจต่อไปได้ จึงเห็นควรให้เสียสละลาออกก่อนที่จะถูกไล่ให้บอบช้ำไปกว่านี้ และเมื่อออกไปแล้ว จะส่งผลให้ พปชร.ลดความขัดแย้งในพรรคและเดินต่อไปได้
ผศ.ดรโอฬาร กล่าวด้วยว่า เมื่อ 4 กุมารไม่อยู่ จะเกิดการเขย่าตำแหน่ง ครม.ใหม่ โดยดึงคนที่เหมาะสม ทั้งคนนอกคนในมากอบกู้เศรษฐกิจ
รวมทั้งยังถือเป็นโอกาสไปเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาลต่างๆ ปรับโควต้าเพื่อกู้ภาพลักษณ์ และสร้างความนิยมให้รัฐบาลพล.ประยุทธ์ ยกตัวอย่างเช่น ขอดึงกระทรวงแรงงานกลับคืนมาจาก พรรคร่วมพลังประชาชาติไทย (รปช.)เพราะที่ผ่านมาการทำงานเป็นจุดอ่อนของรัฐบาล โดยเฉพาะการแกปัญหาโควิด -19 หม่อมราชวงศ์ จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน ไม่สามารถช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานได้เท่าที่ควร
อย่างเช่นการระบุว่าให้คนตกงานไปหางานในเว็บไซต์ กูเกิล หรือแม้แต่สิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จาก 62% ของเงินเดือน(เพดานขั้นสูงสุด 15,000 บาท)เป็น 75% เข้าสู่ครม. ไม่สำเร็จ ถูกต่อต้านจาก บอร์ดประกันสังคมเพราะเกรงว่าจะกระทบกองทุนระยะยาว จนมีกระแสข่าวว่า จะขอปรับขึ้นเบี้ยประกันสังคมเป็น 28.5% จากเดิมจ่าย 12.5% ในสภาวะคนยากลำบาก สิ่งเหล่านี้สะท้อนความไม่เข้าใจคนแรงงาน หาเช้ากินค่ำ ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ว่า รมว.แรงงาน มีจุดยืนทางสถานะสังคมแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม แกนนำ พปชร. ควรถือโอกาสนี้เจรจากับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำ รปช. เพื่อสลับเปลี่ยนเก้าอี้ อาจเอากระทรวงการต่างประเทศ หรือ กระทรวงศึกษาธิการไปให้อาจจะเหมาะสมกับ หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล มากกว่านั่งอยู่กระทรวงแรงงาน

