เมืองหลวงสมัย “ผู้ว่าฯอัศวิน”เช็กบิลมาเฟีย – ยึดทางเท้าคืนยุค”ชัชชาติ”แผ่วปลาย – ปัญหาวนกลับ

120

กลางปี 2569 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) จะหมดวาระดำรงตำแหน่ง คาดว่ากรกฎาคม 2569 จะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ คาดว่าผู้ว่าฯ ชัชชาติที่เคยประกาศขอเป็นสมัยเดียว อาจลงชิงตำแหน่งอีกครั้ง

หากย้อนไปช่วงที่นายชัชชาติ เข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ คนเมืองหลวงเต็มไปด้วยความหวังว่าคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่จะดีขึ้น เพราะมั่นใจว่านายชัชชาติสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ที่กระทบต่อการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี ยิ่งได้เห็นภาพนายชัชชาติไลฟ์สดระหว่างลงพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาหรือเก็บข้อมูลของปัญหาเพื่อนำไปวางแผนแก้ไข รวมถึงคาดหวังว่าจะได้เห็นการสานต่อโครงการต่างๆ ที่คนเมืองหลวงเห็นว่าเป็นโครงการดีในยุคที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.

ครั้นเวลาทอดยาวออกไป 1 ปี 2 ปี และ 3 ปี พบว่านโยบายถูกผลักดันออกมาให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมในหลายด้าน อาทิ การสร้างสวนสาธารณะเพื่อให้เป็นปอดของคนเมืองหลวงเพิ่มขึ้นหลายแห่ง จัดการขยะอย่างเป็นระบบมากขึ้น เป็นผลงานที่คนเมืองหลวงสัมผัสได้ในระดับหนึ่ง

แต่พอเข้าสู่ช่วงปลายของวาระที่ดำรงตำแหน่ง คนระดับกลางถึงระดับล่าง และพ่อค้าแม่ค้าขายของบนทางเท้าตามที่ กทม. อนุญาตให้วาง เกิดความรู้สึกว่าการดำรงชีวิตกำลังถูกคุกคามอีกคำรบหนึ่ง

ปัญหาดังกล่าวไม่ควรจะเกิดขึ้นอีก หากนายชัชชาติให้ความสำคัญที่จะสานต่อและรักษาระดับไว้เท่าที่ พล.ต.อ.อัศวิน ได้เริ่มต้นทำไว้สำเร็จ และบางส่วนกำลังรุกคืบเพื่อดำเนินการ

ปัญหาแรกที่ได้หวนกลับมาแล้ว นั่นคือพวกนักเลงหรือพวกที่ทำตัวเหนือกฎหมาย หรือพวกที่ชาวบ้านเรียกว่า “มาเฟีย” เริ่มออกอาละวาดเก็บค่าคุ้มครองพ่อค้าแม่ค้า วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยเฉพาะย่านสยามสแควร์ หรือช่วงต้นๆ ถนนสุขุมวิท ซึ่งปัญหานี้ พล.ต.อ.อัศวิน เคยจัดการไปเรียบร้อยแล้ว

การเก็บค่าคุ้มครองกำลังขยายเป็นวงกว้าง มีเกือบทุกเขตที่เป็นย่านธุรกิจ บางพื้นที่เจ้าหน้าที่เทศกิจทำหน้าที่จัดเก็บค่าคุ้มครองเอง บางพื้นที่เทศกิจร่วมมือกับนักเลงหัวไม้จัดเก็บค่าคุ้มครองจากพ่อค้าแม่ค้า ถ้าพ่อค้าแม่ค้าคนไหนแข็งข้อ เจ้าหน้าที่เทศกิจจะงัดกฎหมายออกมาบังคับใช้

พฤติกรรมเหล่านี้มีให้เห็นบนถนนสายเศรษฐกิจเกือบทุกสายในพื้นที่กรุงเทพฯ แม้แต่มอเตอร์ไซค์รับจ้างหาเช้ากินค่ำ ยังต้องจ่ายค่าคุ้มครอง มีทั้งแบบรายเดือนและรายวัน

ปัญหาถัดมาคือทางเท้าบนถนนหลายสายที่สร้างในยุคของผู้ว่าฯ อัศวิน อยู่ในสภาพดี ชาวบ้านยังใช้เดินทางได้อย่างสบาย แต่กลับถูกทุบทิ้งหรือรื้อสร้างใหม่ อดสงสัยไม่ได้ว่าทางเท้าที่อยู่ในสภาพใช้งานได้อย่างดี ทำไมถึงต้องทุบหรือรื้อเพื่อสร้างใหม่ ทำให้เสียงบประมาณโดยไม่จำเป็น หรือเงินทอนมันยั่วยวน

ซึ่งผลที่ตามมาแบบคาดไม่ถึงนั่นคือ ทางเท้าของถนนหลายสายใช้เวลาสร้างนานมาก ชาวบ้านสัญจรลำบาก บางสายสร้างเสร็จแล้วส่งมอบเรียบร้อย แต่ของเดิมที่ถูกรื้อทิ้งกลับดูดีกว่าที่สร้างใหม่

ผลของการทุบหรือรื้อทางเท้าแล้วสร้างใหม่ ทางเท้าของถนนบางสาย ในยุคของ พล.ต.อ.อัศวิน ได้ยึดคืนด้วยการเคลียร์ไม่ให้ถูกบุกรุกจากตึกแถวสองข้างถนน หรือพ่อค้าแม่ค้าที่วางของขาย หรือวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านสัญจรไปมาได้สะดวก ปัญหาได้ย้อนกลับมาดังเดิม โดยที่เจ้าหน้าที่เขตมิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด

ขณะที่ถนนย่านเศรษฐกิจทั้งกลางเมืองหลวง หรือย่านเศรษฐกิจแถบชายขอบ ยุคผู้ว่าฯ อัศวิน ได้ยึดคืนมาให้ประชาชนเดินสัญจรได้สะดวกแล้ว แต่ปลายยุคผู้ว่าฯ ชัชชาติ ถูกพ่อค้าแม่ค้ายึดคืนเป็นที่เรียบร้อย โดยมีเจ้าหน้าที่เทศกิจรู้เห็นเป็นใจ เพราะมีปัจจัยจ่ายให้แบบรายวันและรายเดือน

อีกผลงานหนึ่งในยุคของ พล.ต.อ.อัศวิน ที่โดดเด่นและกลายเป็นแลนด์มาร์กอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ นั่นคือการพัฒนาคลองโอ่งอ่าง ที่ถูกชาวบ้าน พ่อค้าแม่ค้า ยึดเป็นพื้นที่ทำมาหากินมาอย่างยาวนาน แบบที่ไม่มีผู้ว่าฯ กทม. คนไหนกล้าแตะ เพราะกลัวกระทบคะแนนเสียง และกระทบรายได้ของเจ้าหน้าที่บางกลุ่ม

พล.ต.อ.อัศวิน ได้จัดระเบียบใหม่ให้นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปเที่ยวได้สะดวกสบาย ทั้งทางบกและทางน้ำ จัดระเบียบร้านค้าต่างๆ อย่างเป็นระบบและมีสัดส่วน มีจุดเช็กอินให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป กลายเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ ยิ่งในช่วงเทศกาลสำคัญ อาทิ ลอยกระทง สงกรานต์ หรือส่งท้ายปีต้อนรับปีใหม่ จะคึกคักเป็นพิเศษ

แต่ช่วงปลายของผู้ว่าฯ ชัชชาติ ดูเหมือนว่าคลองโอ่งอ่างหยุดการพัฒนา ขาดการประชาสัมพันธ์ และไม่ให้ความสำคัญในการจัดอีเวนต์ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวแต่อย่างใด ทั้งที่คลองโอ่งอ่างเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์แห่งหนึ่งของเมืองหลวง

ที่ยกมานำเสนอเป็นปัญหาเพียงบางส่วนในเมืองหลวง ยังไม่นับรวมปัญหาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ปัญหาการแพร่ระบาดยาเสพติด หรือปัญหาการจราจรที่ติดขัดจนกลายเป็นความคุ้นชินของคนเมืองหลวงไปแล้ว ซึ่งการแก้ปัญหาเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งเอกชนและรัฐบาล

แต่ที่ “จอมมารน้อย” ยกปัญหานี้ขึ้นมาเสนอ เพียงเพื่อสื่อสารให้สังคมได้เห็นว่า โครงการต่างๆ ที่อดีตผู้ว่าฯ กทม. ได้วางระบบไว้ดีแล้ว และประชาชนรู้สึกสัมผัสได้ว่ามีประโยชน์ ผู้ว่าฯ กทม. คนปัจจุบันควรจะสานต่อให้บรรลุเป้าหมายและเกิดผลดีต่อประชาชนอย่างยั่งยืน ไม่ใช่พอใกล้หมดวาระกลับปล่อยปละละเลย กลายเป็นช่องว่างให้ปัญหาเดิมๆ วนกลับมาสร้างปัญหาให้กับประชาชน และกลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่เทศกิจแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ล้วนสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนส่วนใหญ่แทบทั้งสิ้น

เมื่อถึงบทสรุปสุดท้าย แทนที่คนเมืองหลวงจะคิดถึงผู้ว่าฯ กทม. ที่ใกล้หมดวาระ กลับไปคิดถึงอดีตผู้ว่าฯ ที่ห่างเหินมาเกือบสามปีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และภาพจำความเป็นนักบริหารมืออาชีพที่ดึงดูดคะแนนเสียงอย่างท่วมท้น ถูกลบเลือนไปโดยปริยาย!!!