นายปริเยศ อังกูรกิตติ โฆษกพรรคไทยสร้างไทย เตือนถึงสัญญาณอันตรายของ “การเลือกตั้งสีเทา” ที่เริ่มก่อตัวขึ้น หลังพบว่าภาครัฐยังไม่สามารถจัดการปัญหาไทยเทาและการยึดทรัพย์ได้อย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่เงินดิจิทัลและสินทรัพย์ทางเลือกเริ่มทะลักเข้าสู่ประเทศ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามและความผันผวนของโลก
นายปริเยศ ระบุว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมา ทำให้เงินดิจิทัลกลับมาเป็นที่จับตาอีกครั้ง ประกอบกับสถานการณ์ชายแดนที่เบี่ยงเบนความสนใจของสังคม ส่งผลให้การเคลื่อนย้ายเงินเทาเกิดขึ้นได้ง่าย โดยเฉพาะในช่วงใกล้การเลือกตั้งและเทศกาลปีใหม่ ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมต่อการฟอกเงินมากที่สุดจากการติดตามข้อมูลเชิงลึก
นายปริเยศ เปิดเผยว่า แผนการจัดทำระบบเทรดสินทรัพย์ดิจิทัลให้ทันต่อการเลือกตั้งได้ถูกพับไปแล้ว หลังเกิดกรณี “เบน สมิธ” ส่งผลให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทั้งในเรื่องเส้นทางการเงินและการป้องกันการแฝงตัวของกลุ่มไทยเทา ขณะเดียวกัน พบว่ามีชาวต่างชาติหลายรายทยอยออกนอกประเทศ หลังตกเป็นเป้าการตรวจสอบหรือกำลังจะถูกตรวจสอบ ทำให้กระบวนการฟอกเงินแบบเดิมทำได้ยากขึ้น จึงเริ่มเปลี่ยนรูปแบบมาใช้เงินคริปโตและทองคำเป็นทุนในการเมือง
นายปริเยศ กล่าวว่า ในช่วงสถานการณ์ชายแดนตึงเครียดและใกล้เทศกาลปีใหม่ เริ่มมีสัญญาณการนำคริปโตและทองคำมาใช้เป็นทุนสำหรับการเลือกตั้ง โดยเฉพาะการจัดตั้งเครือข่ายหาเสียงในระดับหมู่บ้านและตำบล ซึ่งมีรายงานว่าบุคคลที่ทำหน้าที่เป็น “หัวจ่าย” ในหลายจังหวัด ได้รับเงินสนับสนุนสูงถึงหลักหมื่นบาทต่อคนแล้ว
โฆษกพรรคไทยสร้างไทย จึงเรียกร้องให้สื่อมวลชนช่วยกันจับตาการฟอกเงินและทรัพย์สินของกลุ่มไทยเทาที่ยังไม่ถูกยึด เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อความบริสุทธิ์ยุติธรรมของการเลือกตั้ง รวมถึงการไหลเข้าของเงินดิจิทัลที่อาจถูกใช้บิดเบือนกระบวนการประชาธิปไตย
นายปริเยศขอรณรงค์ให้ประชาชนเลือกพรรคการเมืองที่ “สีขาว” พร้อมย้ำว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นจุดชี้ชะตาประเทศ ว่าจะสามารถยืนหยัดเป็นรัฐที่เข้มแข็งได้หรือไม่ หลังการเลือกตั้ง เพราะหากปล่อยให้เงินเทาและอิทธิพลต่างชาติครอบงำ ประเทศไทยอาจสูญเสียอธิปไตยทั้งในกระบวนการยุติธรรม ธุรกิจ และการเมืองในอนาคต

