จริงๆ แล้ว ผบ. ต่าย คืออัศวินขี่ม้าขาวเดินหน้ากู้วิกฤตศรัทธา ตร. จากผลงานเป็นดัชนีชี้วัด

1183

จั่วหัวแบบนี้ผู้อ่านอาจจะรู้สึกว่าเกินความจริงไป เนื่องจากห้วงเวลานี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กลายเป็นองค์กรที่ฉาวโฉ่ เพราะอดีตตำรวจและอินฟลูเอนเซอร์บางคนสาวไส้ว่าตำรวจรับส่วยจากธุรกิจสีเทาและมีการซื้อขายตำแหน่งระดับ รองผบก.–สว. รวมถึงนายพลตำรวจ

“ประดู่แดง” ขอให้ผู้อ่านวางใจกลางๆ แล้วพิจารณาว่าข้อมูลที่แฉออกมานั้นเกิดขึ้นในยุคไหน ใครเรืองอำนาจ และเป็นข้อมูลเก่าที่เกิดขึ้นมาก่อนที่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร มานั่งกุมบังเหียนสำนักปทุมวันหรือไม่?

เพื่อให้เห็นภาพว่าความฉาวโฉ่เริ่มก่อตัวเมื่อใด “ประดู่แดง” ขอเสนอว่า นับแต่เผด็จการทหารใต้เสื้อคลุมคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ครองอำนาจได้ประมาณ 1 ปี องค์กรตำรวจเริ่มซวนเซ เพราะผู้กุมอำนาจในรัฐบาลปล่อยอำนาจให้ตำรวจที่ไม่ใช่ผู้นำองค์กรบริหารจัดการตามอำเภอใจ แสวงหาผลประโยชน์ทุกรูปแบบแล้วประเคนให้กับผู้มีอำนาจตุนไว้เป็นทุนเพื่อรักษาฐานอำนาจทางการเมือง

ส่งผลให้บรรยากาศการทำงานของตำรวจอยู่ในอาการขวัญผวามากกว่าที่จะเต็มใจทำงาน ยิ่งในช่วงที่ผู้มีอำนาจใน ตร. เรียกประชุมหัวหน้าหน่วยทั่วประเทศผ่านออนไลน์ นอกจากต้องมานั่งรอหน้าจอนานนับชั่วโมงหรือมากกว่านั้นแล้ว ยังต้องระวังอารมณ์อันเกรี้ยวกราดของประธานที่ประชุมอีกต่างหาก เพราะถ้าไม่สบอารมณ์มีโอกาสถูกเรียกให้ไปรายงานตัวที่ ตร. ในวันถัดไปสูงยิ่ง

ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาทิ หัวหน้าในพื้นที่สกลนครรายงานขัดหู ถูกสั่งให้เดินทางไปรายงานตัวที่กรุงเทพฯ ภายในเวลา 08.00 น. วันถัดไป ต้องรีบบึ่งรถมาตั้งแต่เย็นยันเช้า ครั้นมาถึงปล่อยให้นั่งรอกระทั่งเย็น แล้วบอกให้นายเวรออกมาแจ้งว่าไม่มีอะไร ให้เดินทางกลับได้ ผกก. หลายนายโดนลักษณะนี้มา 2–3 ครั้ง เมื่อนายตำรวจคนนี้กระเด็นตกเก้าอี้ จึงมีเสียงจุดประทัดไล่ดังขึ้นเกือบทุกโรงพัก

ขณะที่การบริหารงานบุคคลล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะทุกตำแหน่งล้วนมีราคาสูง โดยที่ ผบ.ตร. แต่ละคนเลือกที่จะนั่งอมสากเพื่อประคองเก้าอี้มากกว่าที่จะออกมาโชว์ภาวะผู้นำ ครั้นเวลาทอดยาวออกไปความขัดแย้งของผู้บริหารใน ตร. เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ต้นเหตุหลักมาจากขัดแย้งผลประโยชน์และแย่งชิงตำแหน่งเจ้าสำนักกัน ถึงขั้นทำให้ประชาชนหมดศรัทธา

กระทั่ง นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีขณะนั้น แก้ปัญหาด้วยการสั่ง ผบ.ตร. และ รอง ผบ.ตร. คู่ขัดแย้งย้ายไปช่วยราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี ตั้ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ รักษาราชการแทนฯ พร้อมมอบนโยบายให้เดินหน้าสร้างผลงานให้ประชาชนกลับมาเชื่อมั่นการทำงานของตำรวจดังเดิม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ไม่ได้ทำให้นายเศรษฐาผิดหวัง เดินสายปลุกขวัญตำรวจร่วมแรงร่วมใจกันทำงานอย่างเต็มที่ พร้อมประกาศนโยบายขายฝันว่า “จะใช้บทบาทหน้าที่การเป็นตำรวจในการดูแลประชาชน สร้างภาพลักษณ์ที่ก้าวไปสู่การเป็นตำรวจอาชีพ เป็นความฝันที่ผมจะขายให้ตำรวจทุกคนแบบไม่ต้องใช้เงินซื้อ แค่เอาผลงานมาซื้อก็พอ” ผลปรากฏว่าตำรวจแห่ซื้อ ทำให้ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2567 ได้รับคำชมจากทั้งนายกรัฐมนตรีและชาวบ้าน

ช่วงรักษาการ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ สร้างผลงานด้านกวาดล้างอาชญากรรมเป็นที่ประจักษ์ เพียงช่วง 1–10 เมษายน 2567 จับกุมคดีอาชญากรรมได้จำนวนมาก อาทิ ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดจับกุมผู้ต้องหาได้ 15,963 คน ยึดยาบ้า 63,204,884 เม็ด ยาไอซ์ 5,245.51 กิโลกรัม เฮโรอีน 22,346 กิโลกรัม และยาอี 1,702 เม็ด ความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไป จับผู้ต้องหาได้ 51,525 คน ความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ความผิดเกี่ยวกับหลอกลวงออนไลน์ จับกุมได้ 7,176 ราย ผู้ต้องหา 7,129 คน จับกุมเว็บพนันออนไลน์ได้ 654 เว็บไซต์ ได้ผู้ต้องหา 2,875 คน รวมมูลค่าทรัพย์สินที่ตรวจยึดและเงินหมุนเวียนกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งในอดีตผลงานลักษณะนี้มีน้อยมาก

เมื่อนั่งเจ้าสำนักปทุมวันเต็มตัว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เดินสายปลุกขวัญตำรวจทั่วประเทศให้ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ เพื่อเร่งกู้ศรัทธาที่อยู่ในภาวะวิกฤต พร้อมประกาศปูนบำเหน็จให้ตำรวจที่มีผลงานด้วยการเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งแบบไร้การซื้อขาย

ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ทำได้จริง ทุกตำแหน่งยึดหลักเกณฑ์การแต่งตั้งอย่างเคร่งครัด แม้แต่นายกรัฐมนตรีทั้งสองของพรรคเพื่อไทยยังต้องชี้แจงกับบรรดา ส.ส. ว่าตำแหน่งที่ขอไปได้เฉพาะคนที่มีคุณสมบัติครบเท่านั้น เพราะ ผบ.ตร. ยึดกฎกติกาอย่างเคร่งครัดในบริบทการแต่งตั้ง

แม้แต่อดีต ผบ.ตร. บางคนยังชื่นชม พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ว่ากล้าชี้แจงกับนายกรัฐมนตรีและฝ่ายการเมืองถึงเหตุผลว่าทำไมตำรวจที่ขอมานั้นไม่สามารถสนองตอบได้

ยิ่งส่องผลงานด้านปราบปรามอาชญากรรมจัดว่ามีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ขอยกตัวอย่างการปราบปรามยาเสพติดระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม–18 พฤศจิกายน 2568 ระยะเวลาแค่ 43 วัน จับกุมคดียาเสพติดได้ถึง 39,924 คดี ได้ผู้ต้องหา 39,934 คน ยึดทรัพย์ได้กว่า 800 ล้านบาท ยึดยาบ้าได้ 183,347,369 เม็ด ยาไอซ์ 4,243 กิโลกรัม เคตามีน 1,346 กิโลกรัม เฮโรอีน 91.99 กิโลกรัม และยาอี 80,402 เม็ด

หากติดตามการบริหารงานบุคคลของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ จะพบว่าจัดการแบบจริงจัง อย่างกรณีแต่งตั้งโยกย้ายประกาศให้ทุกหน่วยทราบว่าหากมีการซื้อขายตำแหน่ง ผู้เกี่ยวข้องจะถูกลงโทษอย่างเด็ดขาด และรวดเร็ว เพียงแค่มีเสียงนินทาว่าในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 8 มีการขายตำแหน่ง ก็เรียก ผบช.ภ.8 และ รอง ผบช.ภ.8 เข้าชี้แจงพร้อมวางแนวทางแก้ปัญหาทันทีแบบดับไฟแต่ต้นลม

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ยังโชว์ภาวะผู้นำ ออกมาชี้แจงทุกข้อกล่าวหาที่มีการโยนใส่องค์กรตำรวจให้สังคมหายคาใจ ซึ่งในแวดวงตำรวจต่างรู้กันดีว่าเหตุใส่ร้ายนั้นเป็นการกระทำเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองดูดีในสายตาประชาชนเท่านั้น และเป็นพฤติกรรมที่เคยก่อมาทั้งสิ้น

ดังนั้นจากข้อมูลที่นำเสนอ พอที่จะเป็นเหตุและผลให้ผู้อ่านเข้าใจว่าทำไม “ประดู่แดง” ถึงตั้งจั่วแบบนั้น!!!