กรุงเทพฯ, วันที่ 12 พ.ย. จากกรณีธนาคารแห่งประเทศไทย กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงิน เตรียมเดินหน้าโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” ดำเนินการผ่านบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM ซึ่งจะปรับบทบาทเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์เพื่อสังคม (Social AMC) เพื่อช่วยแก้ปัญหาหนี้เสียให้กับลูกหนี้รายย่อย ซึ่งมีหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 ไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ในฐานข้อมูล บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด(NCB)

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า โครงการนี้นับเป็นอีกก้าวสำคัญในการช่วยหาทางออกให้กับลูกหนี้รายย่อยและสถาบันการเงินเจ้าหนี้ ที่เป็นธนาคารพาณิชย์ และบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของธนาคาร ในการจัดการกับปัญหาหนี้เสีย โดยใช้ทรัพยากรทางการเงินที่เหลืออยู่ หลังปิดโครงการคุณสู้เราช่วย ให้เกิดประสิทธิผลเพิ่มเติม อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า การจะช่วยลูกหนี้ให้หลุดออกจากสถานะหนี้เสียได้นั้น ยังขึ้นอยู่กับความสามารถในการกลับมาจ่ายคืนหนี้ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่จำเป็นซึ่งเชื่อมโยงกับการแก้ปัญหาทางการเงินและรายได้ของภาคครัวเรือนในภาพรวม นอกจากนี้ ยังมีลูกหนี้ NPL รายย่อยอีกกว่า 2.8 ล้านบัญชี ที่อยู่กับสถาบันการเงินอื่นที่อยู่ระหว่าง/รอการปรับโครงสร้างหนี้
ภายใต้สมมติฐานของทางการที่คาดหวังว่า โครงการนี้จะสามารถช่วยเหลือลูกหนี้ให้ประสบความสำเร็จในการแก้หนี้และกลับสู่ระบบได้ราว 30-50% หรือประมาณ 500,000–800,000 ราย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า โครงการนี้จะทำให้ภาระหนี้ของลูกหนี้รายย่อยที่เป็นหนี้เสียในฐานข้อมูลหนี้ครัวเรือนของ NCB ลดลงประมาณ 1.0-2.0% อย่างไรก็ดี ผลต่อหนี้ครัวเรือนในภาพใหญ่อาจจำกัดอยู่ในกรอบประมาณ 0.1-0.2% ของหนี้ครัวเรือนโดยรวม

