“เพื่อไทย” ประณามกัมพูชา กรณีทุ่นระเบิดห้วยตามาเรีย เสนอใช้หุ่นยนต์เก็บกู้แทน จี้ รบ.ใช้นานาชาติ-ปราบสแกมเมอร์ กดดันเขมร

772

ที่พรรคเพื่อไทย, วันพุธที่ 12 พฤศจิกายน – นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ อดีต รมว.ต่างประเทศ และนายกฤชนนท์ อัยยปัญญา รองโฆษกพรรคเพื่อไทย ร่วมกันแถลงข่าวกรณีสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ว่า จากกรณีที่โฆษกกองทัพบกแถลงถึงการลักลอบรื้อถอนรั้วลวดหนามและการวางทุ่นระเบิดใหม่ของกัมพูชา บริเวณห้วยตามาเรีย ซึ่งเป็นเขตอธิปไตยของประเทศไทย ภายหลังการลงนาม “ปฏิญญาสันติภาพไทย–กัมพูชา” จนเป็นเหตุให้ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บ 4 นายนั้น พรรคเพื่อไทยขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ดังกล่าว และขอเสนอให้กองทัพฯ ใช้ หุ่นยนต์เก็บกู้ทุ่นระเบิด เพื่อป้องกันและลดความสูญเสียของพี่น้องทหารไทยในอนาคต

นายมาริษ กล่าวว่า ขอประณามกัมพูชาสำหรับการกระทำที่เป็นการละเมิด ปฏิญญาสันติภาพ, ข้อตกลงหยุดยิง, และ อนุสัญญาออตตาวา ซึ่งขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎหมายสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติอย่างร้ายแรง การกระทำดังกล่าวสะท้อนถึงการขาดจิตสำนึกในหลักมนุษยธรรมและความจริงใจต่อกระบวนการสันติภาพ

นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยเสนอให้รัฐบาลต่อยอดแนวทางการเก็บกู้วัตถุระเบิดที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยดำเนินไว้ โดยผลักดันความร่วมมือกับมิตรประเทศและองค์กรระหว่างประเทศ โดยเฉพาะรัฐภาคีอนุสัญญากรุงออตตาวา และศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ทั้งนี้ควรใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เช่น หุ่นยนต์กำหนดเป้าหมายและเก็บกู้ทุ่นระเบิด, ระบบ surveillance เพื่อตรวจจับการละเมิดและการลักลอบวางทุ่นระเบิดของกัมพูชาในพื้นที่ชายแดน เพื่อลดความเสี่ยงต่อชีวิตของเจ้าหน้าที่ไทย

นายมาริษ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งยกระดับมาตรการกดดันกัมพูชาอย่างจริงจัง ผ่านช่องทางทางการทูต โดยเฉพาะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และอดีตประธานอาเซียน นาย Romualdez Marcos Jr. ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ในฐานะประธานอาเซียนคนต่อไป นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในฐานะผู้ผลักดันปฏิญญาสันติภาพ และรัฐบาลจีน ในฐานะสักขีพยานข้อตกลงหยุดยิงไทย–กัมพูชาที่เมืองปุตรจายา ประเทศมาเลเซีย

“พรรคเพื่อไทยเสนอให้รัฐบาล ยกระดับการกดดันผ่านประชาคมโลก โดยเฉพาะประเทศภาคีสมาชิกอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยเคยผลักดันเรื่องนี้ไว้แล้ว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาล ยกกรณีนี้เข้าสู่วาระการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา (22nd Meeting of the States Parties to the Ottawa Convention) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1–5 ธันวาคม 2568 ณ นครเจนีวา เพื่อประณามกัมพูชา และเรียกร้องให้รัฐภาคีกดดันให้กัมพูชารับผิดชอบต่อการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ และร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิดอย่างจริงจัง” อดีต รมว.ต่างประเทศ กล่าว

ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยเรียกร้องให้รัฐบาล เร่งผลักดันการปราบปรามสแกมเมอร์ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่นำมาซึ่งความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชาอย่างจริงจัง โดยให้รัฐบาลไทยกลับมาแสดงบทบาทนำเหมือนในยุครัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่เคยผลักดันให้เกิดความร่วมมือในระดับภูมิภาค ทั้งในกรอบอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง, อาเซียน, ความร่วมมือทวิภาคีกับมหาอำนาจ และกับ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNODC) โดยมุ่งเน้นการ ตัดท่อน้ำเลี้ยงของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ และการ เยียวยาผู้เสียหาย อย่างเป็นรูปธรรม

ด้านนายกฤชนนท์ กล่าวว่า การปราบสแกมเมอร์ เป็นการเดินหน้ากดดันกัมพูชาเชิงรุก ที่รัฐบาลเพื่อไทยได้เคยริเริ่มไว้ จนไทยมีบทบาทนำ ขอเสนอรัฐบาลปัจจุบันให้เร่งดำเนินการเพิ่มเติม ทั้งการดำเนินคดี Prince Group การเปิดเผยผลสอบข้อเท็จจริง กรณีที่นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดีอี แฉว่าถูกแก๊งสแกมเมอร์เสนอสินบน 40 ล้านต่อเดือน การบังคับใช้ พรก. มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญกรรมทางเทคโนโลยี เพื่อนำเงินที่อาชญากรเอาไปมาคืนให้ผู้เสียหายให้มากที่สุดและเร็วที่สุด

“ขอย้ำว่ารัฐบาลต้อง เดินหน้าความร่วมมือปราบสแกม 3 ฝ่าย  ระหว่าง ไทย-จีน-กัมพูชา โดยให้พิจารณาพัฒนาจากโมเดลความร่วมมือ ไทย-จีน-เมียนมา เพราะเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศที่ได้ผลเป็นรูปธรรมมากที่สุด” รองโฆษกเพื่อไทย กล่าว