กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำแล้วว่า ขณะนี้ เรื่องคดีฮั้ว สว. เดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนที่สำคัญ อันเนื่องมากจากความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองผูกพันกับสถานการณ์หรือบทบาทของรัฐบาลใหม่โดยรวม เป็นที่ทราบดีว่ามีคนในพรรคแกนนำรัฐบาลใหม่ มีส่วนพัวพันถูกกล่าวหาว่ามีเอี่ยวกับเรื่อง ฮั้ว สว.ทั้งสิ้น

ย้อนจุดตั้งต้นความตั้งใจของคนกลุ่มนี้อยากจะมีสว.ของตัวเองสักครึ่งหนึ่งของสภา หรือประมาณ 100คนเพื่อที่จะควบคุมทิศทางฝ่ายนิติบัญญัติได้ แต่ผลจริงหวยออกมาได้แจ๊คพ็อตเกินคาด ได้ดีกว่าการกำหนดสเป๊ก พบตัวเลขได้มา130กว่าคน แล้วปรากฎความอัศจรรย์ใจ พอคนพวกนี้เข้าไปในสภาจริง ๆ เหมือนกับไปสร้างเครือข่ายเพิ่มเติมได้น่าจะประมาณ 150-160 คน พูดง่าย ๆ แทบจะสภาไปแล้ว

ถามว่าแล้วยังไง สว.มีความน่ากลัวอย่างไร บอกได้แค่เพียงว่า นี่คืออันตรายของบ้านเมืองเราเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่ากลุ่ม สว.ที่ว่าอยู่ภายใต้การควบคุมอำนวยการของคนเพียงกลุ่มเดียว จะว่าไปจริงๆแค่ “คนเดียว” ก็ไม่ผิดนัก ที่จะสามารถชี้นำการเมืองบ้านเราได้หมดเลยจากนี้ต่อไป อำนาจหลัก ๆ ใหมีอำนาจในการที่จะเลือกองค์กรอิสระ ที่ผ่านมาปีเศษ ๆ ที่ผ่านมาเขาก็เลือกกันไปมากแล้ว ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ กกต. ดังนั้น องค์กรหลัก ๆ ที่เรียกอิสระ อาจจะอิสระไม่จริง? ถ้ายังมีอำนาจแบบนี้ต่อไปภายในสิ้นปีนี้เขาก็จะได้เลือก กกต.ได้ถึง5คน !! จบแล้วครับนาย ชี้เป็นชี้ตาย การทำหน้าที่จะมีคำถามแน่นอนความวุ่นวายบ้านเมืองเราแบบหน้าด้าน ๆ จะเกิดขึ้นอีกครั้งหรือไม่? โปรดติดตามอย่างตาห้ามกะพริบ! ป.ป.ช. , ศาลรัฐธรรมนูญอะไรต่าง ๆ เบ็ดเสร็จเกือบ 40 กว่าตำแหน่ง ภายใต้กลไกของสว.ชุดนี้เป็นจุดที่อันตราย ถ้าหากคนกลุ่มที่ว่าควบคุมสภานิติบัญญัติได้มีconnectionกับองค์กรอิสระ โยงใยไปอีกว่า มีการชี้แนะชี้นำในการที่ตัดสินหรือบริหารกิจการอะไรต่าง ๆ ตามความต้องการของคนกลุ่มนี้ ก็ไม่แตกต่างอะไรกับการกินรวบประเทศ
จริง ๆ แล้ว คดีฮั้วมันควรที่จะจบแล้ว จากการติดตามข้อมูลพบว่า ในระเบียบการสืบสวนไต่สวนของกกต.เองที่ออกไว้ จะต้องมีการสรุปสำนวนผ่านกระบวนการวินิจฉัยภายใน1ปีนับแต่วันการเลือก (ซึ่งมีการประกาศผลวันที่ 10 กรกฎาคมปีที่แล้ว ) สำนวนควรจะผ่านกระบวนการทั้งสืบสวนไต่สวนของเลขาสำนักงานเลขารวมทั้งอนุวินิจฉัยต้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว แต่ปรากฏว่าขณะนี้ เรื่องเพิ่งจะอยู่ในขั้นที่ 3 คืออยู่ในชั้นของอนุผู้วินิจฉัยที่จะมีการตรวจสอบ ตรงนี้ก็ถือว่าเป็นความบกพร่องของกกต.จุดหนึ่งที่ทำเรื่องนี้ล่าช้า หวังว่าจะมีคนนำประเด็นเหล่านี้ไปฟ้องร้อง กกต.ต่อไป เราเห็นถึงบริบทการทำงานของเจ้าหน้าที่ ว่าทำไมไม่เร่งรัดสำนวนนี้ปล่อยมาถึงปีเศษ หลักฐานโพยที่เอาไปใช้ การเช่า รร. มารถคันเดียวกัน นัดกันใส่เสื้อไม่เรียกเตรียมการมาก่อนจะให้เรียกว่าอะไร?
นี่ยังไม่นับทางการที่ เขาเล็งเห็นถึงเส้นเงินใครโอนเงินให้ใคร ก่อนหน้านี้มีพยานบุคคลที่เป็นคนสำคัญที่เคยรับสารภาพหลายปากหลายคน ใครเป็นใครไปนั่งตรงไหนจนเป็นมูลเหตุที่มาของการออกหมายเรียก มาแจ้งข้อกล่าวหา แต่พอเกิดการดึงเช็งเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทิศทางคดีหรือไม่ ในการไปเอาพยานปากอื่นมาหักล้างหรือกลับคำให้การ เพื่อด้อยค่าน้ำหนักพยานบางราย อาจจะเอาเป็นเหตุทำให้มีการพิจารณาใหม่

แม้ ท่านนายกฯ อ้างว่าไม่มีการแทรกแซง ไม่มีการเข้าไปล้วงลูก ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการดำเนินการจนสามารถสรุปจนถึงแจ้งข้อก่อหาผู้เกี่ยวข้องได้ถึง 229 คน โดยเป็นสว.ในสภา 138คน และเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มการเมืองพรรคการเมืองอีก91คน ซึ่งก่อนหน้านี้ตามที่ปรากฎในหน้าสื่อมีข่าวว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ จะเรียกผู้เกี่ยวข้องที่ถูกกล่าวหาในคดีที่พาดพิงไปถึง ที่มีเส้นเงินไปถึงเรื่องฟอกเงินต่าง ๆประมาณ 10 กว่าคน แล้วบังเอิญช่วงนั้นกำลังเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อกำลังจะมีการตั้งรัฐบาลใหม่ ก็มีคำสั่งลึกลับที่ไปบอกทาง DSI บอกว่าอย่าเพิ่งเรียกมาแจ้งข้อหา ก็จากที่มีการสอบสวน สรุปถูกเรียกกลับหมด เพราะฉะนั้นตรงนี้จะบอกไม่แทรกแซงได้หรือไม่ ?
หากว่า กกต. ไม่ดำเนินการปล่อยเลยตามเลยปล่อยผี 138คน เท่ากับว่าเขาควบคุมตรงนี้ได้ตลอดไป จะมีการแต่งตั้งใคร ได้อีกหลายสิบคนจนควบคุมกลไกต่างๆได้ กระทั่งกลไกการตรวจสอบ กกต.จะมีชุดใหม่เกื้อหนุนกันในการควบคุมการเลือกตั้ง จนได้อำนาจบริหาร กระทั่งเขาควบคุมเหมือนก็ปฏิวัติในระบบประชาธิปไตยได้แล้ว พวกเราทุกคนก็ต้องรับสภาพนี้ตลอดไป


