ติดตามข่าว พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ลงนามคำสั่ง ตร.ที่ 463/2568 แต่งตั้งโฆษกและรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นโฆษกฯ แต่งตั้งรองโฆษกฯอีก 4 นาย แบ่งความรับผิดชอบออกเป็น 4 ฝ่าย ประกอบ พล.ต.ท.ชัยต์พจน สูวรรณรักษ์ ผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล รับผิดชอบฝ่ายเสริมสร้างภาพลักษณ์-สื่อสารองค์กรภายใน

พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(รอง ผบช.น.) รับผิดชอบฝ่ายกิจการบังคับใช้กฎหมาย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผู้บังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1(ผบก.สอท.1) รับผิดชอบฝ่ายบูรณาการความรู้-สื่อสารเพื่อสังคม และพล.ต.ต.จตุรภัทร์ ภิรมย์แก้ว ผู้บังคับการกองการต่างประเทศ รับผิดชอบฝ่ายกิจการต่างประเทศ
ถ้าดูจากคำสั่งพออนุมานได้ว่าพล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ต้องการขับเคลื่อนงานประชาสัมพันธ์ของสำนักปทุมวันแบบเชิงรุก เพราะอดีตที่ผ่านผบ.ตร.มักจะออกคำสั่งแต่งตั้งโฆษกฯเพียงคนเดียวแล้วให้โฆษกฯไปจัดทีมงานกันเองภายใน
แต่ครั้งนี้มีการแบ่งงานให้รองโฆษกฯรับผิดชอบหน้างานอย่างชัดเจน ซึ่ง ผบ.ตร.คงคาดหวังให้แต่ละหน้างานได้สื่อสารกับประชาชนและตำรวจอย่างละเอียดชัดเจน อย่างกรณีของ พล.ต.ท.ชัยต์พจน รับผิดชอบด้านเสริมภาพลักษณ์และสื่อสารองค์กรภายใน เป้าหมายคงต้องการสื่อสารถึงตำรวจด้วยกัน โดยเฉพาะการแต่งตั้งโยกย้ายที่มักจะมีเสียงสะท้อนถึงความไม่เป็นธรรม ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ไปถึงภายนอก พล.ต.ท.ชัยต์พจน จะสื่อสารได้ดีในฐานะผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล
หรือกรณี พล.ต.ต.ธีรเดช รับผิดชอบฝ่ายกิจการบังคับใช้กฎหมาย จัดว่าวางตัวได้ถูกเพราะในแวดวงตำรวจและประชาชนทั่วไปต่างทราบกันดีว่า พล.ต.ต.ธีรเดช มีความเชี่ยวชาญในงานสืบสวน ผ่านการสางคดีสำคัญมาจำนวนมาก ย่อมที่จะเข้าใจบริบทในการสื่อสารเกี่ยวกับคดีให้ประชาชนได้รับทราบเป็นอย่างดี
หรือกรณี พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ รับผิดชอบฝ่ายบูรณาการความรู้-สื่อสารเพื่อสังคม ถือว่ามาถูกทางเพราะช่วงหลายปีที่ผ่านมาประชาชนได้ตกเป็นเหยื่อแก๊งอาชญากรรมออนไลน์ จำนวนมากและมีแนวโน้มสูงขึ้นด้วย การสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจเพื่อให้ป้องกันตัวเองเป็นหัวใจสำคัญ ที่ผ่านมา พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ได้โชว์บทบาทในฐานะโฆษก บช.สอท.ได้ในระดับดี
หรือกรณี พล.ต.ต.จตุรภัทร์ รับผิดชอบฝ่ายกิจการต่างประเทศ จัดว่าตรงวัตถุประสงค์ และเชื่อว่าที่พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ คงมองออกว่าสถานการณ์อาชญากรรมข้ามชาติ คงจะเพิ่มปริมาณมากขึ้นโดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรืออาชญากรรมข้ามชาติอื่นๆ ตำรวจไทยต้องประสานงานกับตำรวจสากล เมื่อเกิดเหตุขึ้นพล.ต.ต.จตุรภัทร์ ในฐานะผู้บังคับการกองต่างประเทศ จะเข้าใจรายละเอียดของข้อมูล สามารถชี้แจงให้สังคมเข้าใจได้ง่าย
ส่วน พล.ต.ท.ยิ่งยศ ในฐานะหัวหน้าทีมฯ ถือว่า ผบ.ตร.เลือกได้ถูกกับสถานการณ์ ณ เวลานี้ ที่องค์กรตำรวจต้องรับบทหลายหน้างาน ไม่ว่าจะต้องคุมฝูงชนตามแนวชายแดนด้านจังหวัดสระแก้ว ช่วยบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วม สนองตอบนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล รวมถึงต้องจัดการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เริ่มอาละวาดหนักขึ้น รวมถึงช่วงต้นปีหน้าที่จะมีการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วประเทศ
ถ้าย้อนดูบทบาทของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ ช่วงกุมบังเหียนตำรวจภูธรภาค 2 สามารถคุมสภาพพื้นที่ได้อย่างดี แต่ละงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ภาค 2 พล.ต.ท.ยิ่งยศผลักดันมาตรการต่างๆออกมาและสามารถสื่อสารให้กับประชาชนเข้าใจได้เป็นอย่างดี
อาทิ มาตรการรักษาความปลอดภัยเมืองท่องเที่ยวภายใต้ชื่อ”พัทยาโมเดล” ต้นแบบนวัตกรรมสร้างความปลอดภัยในเมืองท่องเที่ยวแบบเชิงรุก ผนึกเทคโนโลยีขั้นสูง ผสานความร่วมมือผนวกข้อมูลของตำรวจและท้องถิ่น ผลลัพธ์จากการทดลองในพื้นที่แซนด์บ็อกซ์ตั้งแต่เดือนเมษายนถึงปัจจุบันรวม 4 เดือน ผลออกมาดี สถิติการเกิดอาชญากรรมลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จับกุมคนร้ายตามหมายจับได้มากขึ้น ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ได้รวดเร็วแม่นยำ สร้างความพึงพอใจและเพิ่มความเชื่อมั่นในนักท่องเที่ยวและประชาชนในพื้นที่
ซึ่งพอที่จะการันตีการสื่อสารงานต่างๆของตำรวจสู่สาธารณชนของพล.ต.ท.ยิ่งยศ ได้เป็นอย่างดี ส่วนความสัมพันธ์กับสื่อมวลชนไม่ยากเช่นกัน เพราะ พล.ต.ท.ยิ่งยศ มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี สมัยเป็นนายตำรวจติดตามนายเสนาะ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สามารถติดต่อประสานงานกับสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่ารองโฆษกฯทั้ง 4 นาย รวมถึงโฆษกฯคงจัดทีมงานในการสืบค้นข้อมูลที่แบบเชิงลึกและทันสถานการณ์ไว้เสิร์ฟโฆษกฯและรองโฆษกฯได้แถลงให้ประชาชนทราบด้วยความอุ่นใจ
ยิ่งโฆษกฯและรองโฆษกฯทำงานอย่างสอดประสานกันแบบทีมเวิร์ค ภาพลักษณ์ขององค์กรตำรวจจะดีวันดีคืนและจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เกษียณอายุอย่างสำราญ !!!


