หน้าแรกสิทธิมนุษยชน-ความเท่าเทียม“กัณวีร์” ขอกระทรวงมหาดไทย-แรงงาน เตรียมพร้อมผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ออกมาทำงาน หวั่นแรงงานกลายเป็นเหยื่อส่วยสัญชาติ

“กัณวีร์” ขอกระทรวงมหาดไทย-แรงงาน เตรียมพร้อมผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา ออกมาทำงาน หวั่นแรงงานกลายเป็นเหยื่อส่วยสัญชาติ

เมื่อวันที่ 2 ต.ค. 2568 ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) จัดเสวนา ผู้ลี้ภัย: สิทธิและข้อท้าทายการทำงานในประเทศไทย ณ ห้องประชุมชั้น 4 อาคารปฏิบัติการ ศูนย์ศึกษาชาติพันธุ์และพัฒนา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ หลังจากมีมติคณะรัฐมนตรี 26 ส.ค.68 ให้ผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา หรือ ผภร. ในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่ง ใน 4 จังหวัดออกมาทำงานเป็นแรงงานถูกกฏหมายได้ เริ่มตั้งแต่ 1 ต.ค.68

ดร.ชยันต์ วรรธนะภูติ ศูนย์ศึกษาชาติพันธ์และการพัฒนา มช. กล่าวว่า เคยสำรวจความคิดเห็นของผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพทั้ง 9 แห่ง ความคิดเห็นของผู้ลี้ภัยที่ได้ฟังมาคือมีผู้ที่เลือกจะอยู่ในไทยเป็นทางที่น่าจะเหมาะสมที่สุด ช่วง 10 ปีที่ผ่านมารอคอยด้วยความมั่นใจว่าสักวันหนึ่งนโยบายของรัฐบาลไทยจะทำให้ข้อเสนอของเราในการให้ผู้ลี้ภัยได้ออกมาทำงานเป็นจริง วันนี้จึงเป็นวันที่อยากจะทำความเข้าใจกับผู้แทนกระทรวงมหาดไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลไทย จะดูว่าผู้ลี้ภัยเมื่อทดลองหาโอกาสไปทำงานในประเทศไทยจะมีอุปสรรคอะไรบ้างแล้วหาทางแก้ไขปัญหาอย่างไร

นางชลิดา ทาเจริญศักดิ์ มูลนิธิศักยภาพชุมชน กล่าวว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ตัดเงินช่วยเหลือค่ายผู้ลี้ภัยตั้งแต่ 1 สิงหาคม ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อค่ายผู้อพยพทั้ง 9 แห่งในไทย เมื่อรัฐบาลมีนโยบายทดลอง 1 ปี ให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน การปฏิบัติตามนโยบายน่าจะได้รับการชื่นชมจากภาคประชาสังคม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นได้มีเวทีเสวนานโยบายรัฐและแนวทางปฏิบัติการอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม กล่าวว่า แม้ทุกคนจะเดินทางไกลมาทั้งหมด 41 ปีที่แต่ตนได้ทำงานเพื่อผู้ลี้ภัยในไทยมา 22 ปี นโยบายความมั่นคงยังมองผู้ลี้ภัยเป็นภัยความมั่นคงจะผลักดันให้กลับประเทศมาตุภูมิเพียงอย่างเดียว

“การเดินทางของผมใช้เวลา 22 ปีทำงานเพื่อผู้ลี้ภัยตอนที่อยู่ สมช. มีการพูดคุยเรื่องนี้ว่าทำไมเราเก็บผู้ลี้ภัยในค่ายอย่างเดียว แต่ยังทำอะไรไม่ได้เพราะหน่วยงานความมั่นคงยังมองผู้ลี้ภัยหรือผู้หนีภัยการสู้รบเป็นแค่ภัยคุกคามความมั่นคง การวางแผนดูแลคนทั้งหมดที่อยู่ใน 9 ค่ายคือสักวันหนึ่งประเทศไทยจะมีการผลักดันผู้ลี้ภัยทั้งหมดกลับประเทศต้นกำเนิดเท่านั้น อย่างอื่นจึงทำไม่ได้ คิดได้ คิดแต่ว่าเขาเป็นภัยความมั่นคงเท่านั้นต่อมาชีวิตผมเปลี่ยนจาก สมช.มาทำงาน UNHCR พยายามพูดคุยกับแคมป์คอมมานเดอร์ต่างๆในผู้พักพิง ว่าทำได้หรือไม่ที่จะให้ผู้ลี้ภัยออกไปทำงานนอกค่าย เขาจะได้ไม่หนีออกไปทำงานข้างนอก เขาบอกว่าทำไม่ได้เพราะมีระเบียบความมั่นคงกำหนด อย่างเดียวที่ทำได้คือขนผู้ลี้ภัยออกไปทำงานข้างนอกแล้วมีการหักหัวคิว นั่นคือสิ่งที่ผมเห็นว่าไปถูกต้องไม่ได้แต่ทำผิดกฎหมายได้” นายกัณวีร์ กล่าว

สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อกลับมาเป็นนักการเมืองมีโอกาสได้ใช้กลไกสภาขอจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนทำเรื่องแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนในการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ คนไร้สัญชาติ ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ และเหยื่อจากการค้ามนุษย์ และได้ทำข้อเสนอซึ่งถูกจังหวะ

“คณะรัฐมนตรีมีมติแรกวันที่ 29 ตุลาคม 2567 ให้สัญชาติคนต่างด้าวที่มีภูมิลำเนาถาวรในไทย 483,000 คน ช่องว่างตรงนี้ระหว่างการให้สัญชาติก็จะมีเหลือบไรรับเงินจากคนที่จะได้สัญชาติตรงนี้เป็นข้อควรระวัง และล่าสุด 26 สิงหาคม 2568 ให้ผู้ลี้ภัยในค่ายอพยพทำงานได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ดีแต่ผมกังวลว่ากระบวนการในการจะเอาผู้ลี้ภัยออกมาทำงานผมว่ามันจะเป็นเหมือนส่วยสัญชาติด้วยเช่นกัน เราต้องเตรียมความพร้อมในการจัดทำมาตรการต่างๆกว่าที่เขาจะทำงานได้ ยืนด้วยขาตัวเองได้ ซื้อสวัสดิการของเขาได้ ต้องครอบคลุมไม่เช่นนั้นผู้ลี้ภัยก็จะกลายเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่งของส่วยต่าง ๆ” เลขาธิการพรรคเป็นธรรม กล่าว

นายกัณวีร์ กล่าวอีกว่า การช่วยเหลือผู้ลี้ภัยในค่ายผู้พักพิงเป็นการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม ความเข้าใจของหน่วยงานราชการไม่เข้าใจคำว่ามนุษยธรรมอย่างเพียงพอ

“คำว่ามนุษยธรรมไม่ใช่การกุศลสิ่งต่างๆที่ประเทศไทยทำตั้งแต่ 41 ปีที่ผ่านมาเป็นการช่วยเหลือทางการกุศลเท่านั้น การเอาของช่วยเหลือเข้าไปโดยไม่ได้ให้เขาสามารถยืนด้วยขาตัวเอง ไม่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันนี้เป็นการทำงานการกุศล เพราะฉะนั้นถ้าให้เขาทำงานได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นไม่ต้องแบมือขออาหารเป็นรายเดือนผมว่ามันจะดีกว่านี้ เราต้องสร้างความเข้าใจคำว่ามนุษยธรรมให้มากขึ้นถ้าเรามีความเข้าใจมันจะขยายต่อไปไม่ใช่แค่ผู้ลี้ภัยเท่านั้น จะเป็นเรื่องอื่นๆที่อยู่ในประเทศไทย แรงงานข้ามชาติ บุคคลไร้รัฐไร้สัญาติ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่เข้าใจคำว่ามนุษยธรรม” สส.กัณวีร์ กล่าว

นายทรงกลด ขาวแจ้ง ผู้อำนวยการกลุ่มงานประสานนโยบายผู้อพยพและหลบหนีเข้าเมือง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมองผู้ลี้ภัยหนีการสู้รบเหมือนเป็นคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งขณะนี้มีแรงงาน 42,000 คน ให้ทำงานในภาคเหนือ กลาง และตะวันออก เป็นภาคที่ขาดแคลนแรงงาน ทั้งนี้ ระยะเวลาการทำงาน 1 ปีตามประกาศกระทรวงมหาดไทยผ่อนผันใช้อยู่ สามารถทำงานได้เรื่อยๆ จนกว่ารัฐบาลจะเปลี่ยนนโยบาย ให้ผู้ลี้ภัยพึ่งพาตนเองได้

“หากดูในประกาศกระทรวงมหาดไทยเราก็ไม่ได้ปิดโอกาสที่ผู้ลึ้ภัยจะเดินทางไปประเทศที่ 3 หรือกลับมาตุภูมิ บางคนอาจจะเข้าใจผิดว่าถ้าออกไปทำงานแล้วจะถูกตัดสิทธิออกจากทะเบียน ยังคงสิทธิเดิมอยู่” นายทรงกลด กล่าว

ในขณะที่ นายปกครอง ศรีขาว ผู้ประสานงานประจำสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยประจำประเทศไทย (UNHCR) กล่าวว่า เป็นผลพวงจากการทำงานมา 41 ปีระหว่างรัฐบาลไทยและ UNHCR การร้องขอให้ผู้ลี้ภัยได้พึ่งพาตนเองไม่ใช่เรี่องใหม่หลายประเทศทั่วโลกก็มีนโยบายลักษณะนี้คืออนุญาตให้ผู้ลี้ภัยออกมาทำงาน คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับภูมิภาคนี้ค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหม่

นายปกครอง กล่าวอีกว่า UNHCR ได้เข้าไปมีส่วนในรัฐสภาจัดตั้งคณะอนุกรรมาธิการศึกษาเรื่องการโยกย้ายแบบไม่ปกติที่ควบรวมทุกบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐานของผู้คนแบบไม่ปกติ เป็นการเริ่มต้นนับหนึ่งอย่างจริงจังผ่านกลไกของสภา ที่ควบรวมทั้งหลักการสากลและความเป็นไปได้ภายในประเทศมาถกเถียงกันเมื่อปี 2566 ต่อมาในปี 2567 มีการคาดการณ์กันว่านโยบายต่างประเทศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะมีข้อท้าทายบางประการ มีการพูดคุยถึงความเป็นไปได้จนมาถึงตัดการช่วยเหลือเกิดขึ้นจริง ๆ ดังนั้น นโยบายรัฐบาลไทยที่กล้าหาญคือมีการหยิบเอาข้อเสนอในสภาขึ้นมาปัดฝุ่นว่าการพึ่งพาตนเองของผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้จะมีทิศทางอย่างไร

“26 สิงหาคม UNHCR ก็ได้ออกแถลงการณ์ชื่นชมโดยทันทีว่านี่เป็นการตัดสินใจที่กล้าหาญ เป็นผู้นำด้านมนุษยธรรมในภูมิภาคและเป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ด้วยกันให้โอกาสคนที่ผ่านมา 41 ปีอ้อนวอนในป่าเขาลำเนาไพรได้สิ่งที่เรียกว่าโอกาส อาทิตย์หน้า UNHCR ก็จะจัด Executive Committee ที่จะรวมเอาบรรดาผู้นำสำคัญๆประเทศต่างๆไปพูดคุยประเด็นผู้ลี้ภัย ประเทศไทยภายใต้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่จะเดินทางไปจะได้กล่าวถ้อยแถลงความสำเร็จนี้อย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศภายใต้ระเบียบโลกที่ค่อนข้างมีความสับสนทุกวันนี้ประเทศไทยยังมีความหวังเสมอในการแก้ปัญหาไปในทางที่มันถูกต้องและควรจะเป็น” ผู้ประสานงาน UNHCR กล่าว

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img