ช่วงวันที่ 2 กันยายน ไล่ดูข่าวความเคลื่อนไหวของนักการเมืองเปิดฉากแย่งชิงอำนาจเสมือนฟัดกันเพื่อแย่งชามข้าว ก็เจอข่าวพนักงานสอบสวนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด(บช.ปส.) หอบสำนวนการสอบสวนคดี พ.ต.อ.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล หรือหมอแอร์ อดีตหมอโรงพยาบาลตำรวจพร้อมความสั่งฟ้องผู้ต้องหาและผู้ร่วมขบวนการรวม 12 คน ฐานสมคบและร่วมกันจำหน่ายวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 2 ฟลูไนตราซีแพมและข้อหาฉ้อโกงลักลอบซื้อยาควบคุมแผนปัจจุบันในกลุ่มยานอนหลับและยาออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
คดีนี้มีผู้ต้องหาทั้งหมด 23 คน จับกุมได้ 12 คน อีก 11 คนประกอบด้วยแพทย์ 9 คน ญาติหมอแอร์ 1 คน เป็นผู้จัดทำเวชระเบียนปลอม 1 คนและเจ้าของคลินิก อีก 1 คน อยู่ระหว่างติดตามจับกุมมาส่งให้อัยการพิจารณา เนื้อหาข่าวสื่อหลายสำนักนำเสนอย้อนเหตุการณ์ช่วงจับกุมรวมถึงแจ้งข้อหาและการทำงานของพนักงานสอบสวน บช.ปส.อย่างละเอียด แต่ที่มาสะดุดที่การยื่นฟ้องเกิดขึ้นอย่างเฉียดฉิว เนื่องจากเป็นวันครบกำหนดฝากขังผู้ต้องหาวันสุดท้าย ซึ่งในวันที่ 28 สิงหาคม อัยการส่งสำนวนคืนให้กับพนักงานสอบสวน บช.ปส.กลับไปสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นสำคัญและกำหนดเส้นตายส่งสำนวนกลับในวันที่ 1 กันยายน
ซึ่ง พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ รองผบช.ปส.ได้นำสำนวนส่งอัยการด้วยตัวเองพร้อมกับบอกว่ารวบรวมพยานหลักฐานอย่างครบถ้วนเพื่อส่งมอบให้อัยการและขอยืนยันว่าแม้ส่งสำนวนให้อัยการวันสุดท้ายไม่มีผลกระทบเพราะได้ประสานงานกับอัยการมาโดยตลอด ขณะที่นายพงศ์พิเชษฐ์ จันทรพรกิจ อธิบดีอัยการสำนักงานคดียาเสพติด บอกว่า พนักงานอัยการสั่งฟ้องพ.ต.อ.หญิง พญ.อัญชุลี พร้อมพวก 12 ต่อศาลแน่นอน แม้การส่งสำนวนเป็นวันสุดท้ายในการครบกำหนดฝากขัง 84 วันหรือ 7 ฝากไม่ใช่อุปสรรคแต่อย่างใด
พลันที่ข่าวแพร่ออกไปว่ามีการตั้งข้อสังเกตเชิงตำหนิการทำงานชองตำรวจอย่างกว้างขวาง ด้วยการตั้งคำถามว่าเป็นเพราะพวกเดียวกันหรือไม่ พนักงานสอบสวนถึงยื้อเวลาออกไปจนเกือบจะต้องปล่อยตัวหมอแอร์และพวกแล้วค่อยตามจับกันภายหลัง
บางกระแสวิเคราะห์ว่าในช่วงที่หมอแอร์รับราชการทั้งในฐานะหมอและทีมประชาสัมพันธ์ให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) อาจมีความใกล้ชิดกับผู้บริหารระดับสูงของตร.หลายนาย จนกลายเป็นช่องทางเอื้อสำนวนคดีให้ล่าช้า ส่งอัยการฟ้องไม่ทัน 84 วัน จะต้องปล่อยตัวหมอแอร์และพวก แบบไร้เงื่อนไข จนกว่าสำนวนคดีส่งถึงมืออัยการและมีความเห็นสั่งฟ้อง ถึงจะตามตัวหมอแอร์และพวกมาส่งอัยการฟ้อง ช่วงจังหวะนั้นสถานการณ์อาจพลิกผันส่งผลดีต่อผู้ต้องหาก็เป็นได้
หากมองถึงรูปคดีทั้งก่อนและหลังการจับกุมหมอแอร์ ตำรวจได้รวบรวมพยานหลักฐานแบบสมบรูณ์แล้ว หลังจับกุมเปิดแถลงข่าวว่าหลักฐานพร้อมที่จะเอาผิดหมอแอร์กับพวก เมื่อรูปตามรูปการแล้วพนักงานสอบสวนไม่น่าจะใช้เกิน 60 วัน เพราะคดีไม่มีอะไรซับซ้อนพยานหลักฐานส่วนใหญ่เป็นเอกสาร ที่อยู่ในมือตำรวจอยู่แล้ว แต่กลับลากยาวจนเกือบเสียงาน
จึงอดสงสัยไม่ได้ว่าหากคดีใดที่ตำรวจตกเป็นต้องหาหรือมีเอี่ยวอยู่เบื้องหลังด้วย จะถูกลากยาวไปเรื่อยๆเพื่อหาช่องช่วยเหลือกันหรือไม่ ?
เพราะไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเกิดเหตุในทำนองเดียวกัน แต่คดีดังกล่าวทั้งตำรวจและอัยการต้องปล่อยตัวผู้ต้องหาแบบไร้เงื่อนไขเพราะครบฝากขัง 84 วัน นั่นคือคดี น.ส.ธันยนันท์ สุจริตชินศรี หรือมินนี่ เจ้าแม่เว็บพนันออนไลน์ ถูกปล่อยตัวเพราะตำรวจและอัยการ ทำสำนวนไม่ทันส่งฟ้อง ช่วงที่พนักงานสอบสวนกำลังทำสำนวนพบว่ามีตำรวจระดับ พ.ต.อ.มีเอี่ยวอย่างน้อย 2 นายและพบเส้นทางการโอนเงินไปบัญชีของพล.ต.อ.และเครือญาติด้วย
ซึ่ง พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ ผบก.สอท. บอกว่า คดี น.ส.ธันยนันท์ กับพวกรวม 10 คน ยังไม่สามารถฟ้องได้ครบกำหนดขาดขัง ต้องปล่อยตัวไป อัยการเจ้าของสำนวนพิจารณาแล้วเห็นว่าการสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ คืนสำนวนให้พนักงานสอบสวนมาก่อนครบฝากขังครั้งสุดท้ายวันที่ 28 พฤษภาคม ประมาณ 2-3 วัน พนักงานสอบสวนไม่สามารถทำได้ทัน อัยการไม่สามารถยื่นฟ้องได้ทัน ศาลจึงปล่อยน.ส.ธันยนันท์และพวกวันที่ 29 พฤษภาคม
เมื่อตามรูปคดีทั้งสองคดีล้วนมีตำรวจมียศสูงเข้าเกี่ยวข้องทั้งสิ้น คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ชาวบ้านจะตั้งข้อสังเกตว่าตำรวจย่อมที่จะหาช่องทางช่วยเหลือพวกเดียวกัน อย่างคดีหมอแอร์ อัยการอาจมองว่าเป็นคดีร้ายแรง เพราะเจ้าหน้าที่รัฐมีภาพพจน์ดีทำผิดเสียเอง จึงต้องเร่งสั่งฟ้องแบบเฉียดฉิว แต่ไม่รอดพ้นเสียงครหาจากสังคมว่ายื้อเวลาจนหวิดจะเสียการ
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย ฝากถึง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับให้พนักงานสอบสวนคดีสำคัญๆเร่งทำสำนวนส่งอัยการสั่งฟ้องแต่เนิ่นๆ เพื่อให้อัยการได้มีเวลาพิจารณาสำนวนรอบด้าน หากสั่งสอบเพิ่มเติม จะได้มีเวลาสอบทันตามกำหนด ถ้าทำได้จริงเสียงครหาว่ายื้อคดีเพื่อช่วยสีเดียวกันคงจะไม่ได้ยินอีก !!!


