“ปัจจุบันการเลี้ยงปลาสวยงาม เป็นงานอดิเรกที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีการซื้อขายทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ จากสถิติของธนาคารโลกในปี 2567 มีมูลค่าการซื้อขายทั่วโลกประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยบ้านเราจัดเป็นประเทศผู้ส่งออกอันดับต้นๆ ของโลก มีมูลค่าการส่งออกกว่าพันล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 11 %

เนื่องจากบ้านเรามีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่เหมาะสมต่อการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงาม มีชนิดพันธุ์ที่หลากหลาย มีปัจจัยที่อำนวยต่อการเจริญเติบโต มีช่องทางการตลาดและการขนส่งที่สะดวก และเกษตรกรไทยมีความสามารถในการผลิตที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน และพัฒนาสายพันธุ์ที่แปลกใหม่อยู่เสมอ”

นายบัญชา สุขแก้ว อธิบดีกรมประมง เปิดเผยถึงสัตว์น้ำที่สำคัญในการส่งออก ได้แก่ ปลากัด โดยเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2568 รัฐบาลได้ออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การกำหนดเอกลักษณ์ประจำชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา ยกย่องให้ปลากัดเป็นสัตว์น้ำประจำชาติ ปัจจุบันปลากัดได้รับการพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยงและปรับปรุงพันธ์จากกลุ่มผู้เพาะเลี้ยง จนเกิดรูปร่างลักษณะที่มีความหลากหลาย รวมทั้งสีสันที่สวยงามจนได้รับการยอมรับจากทั่วโลก จนนำไปสู่การค้าเชิงพาณิชย์ โดยประเทศไทยมีมูลค่าการส่งออกปลากัดประมาณ 400 ล้านบาท หรือราว 40% ของการส่งออกสัตว์น้ำทั้งหมด
ส่วนอันดับรองลงมา คือ ปลาเงินปลาทอง ( 7.3%) ปลาหางนกยูงและปลาสอด ( 6.4%) กุ้งสวยงาม (5.8%) กลุ่มปลาหมอสีและปลาออสการ์ (3.9%) และปลาชนิดอื่นๆ โดยเฉพาะปลาสวยงามพื้นเมืองของประเทศไทย เช่น ปลาก้างพระร่วง ปลาลูกผึ้ง ปลาซิวต่างๆ มีประเทศผู้นำเข้าสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา(20%) สหภาพยุโรป (13.2%) จีน (10%)

ทังนี้กรมประมงเล็งเห็นถึงมูลค่าการส่งออก ที่จะกลับมาเป็นเม็ดเงินให้กับเกษตรกรที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ ประกอบกับตลาดเดิมที่ยังมีส่วนแบ่งอีกมากให้ช่วงชิง และตลาดใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีความสำคัญอย่างมาก ที่จะต้องเข้าไปถือครองส่วนแบ่งทางการตลาด ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของนายอัครา พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่กำกับดูแลกรมประมง ที่มุ่งเน้นการสร้างอาชีพ สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพผลผลิตสัตว์น้ำ เพิ่มช่องทาง เพิ่มตลาดให้เกษตรกรไทย เพื่อสร้างรายได้สู่ครัวเรือนเกษตรกร ดังนั้น การเตรียมพร้อมเรื่องข้อกำหนดการนำเข้าสินค้าสัตว์น้ำสวยงามของประเทศผู้ค้า จึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สามารถผลิตและส่งออกได้ตามมาตรฐาน เงื่อนไข และข้อกำหนดของผู้ค้า รวมถึงการพัฒนาสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคให้มากที่สุด ทั้งความสวยงาม ความแปลกใหม่และมีสายพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อให้สินค้ามีความหลากหลาย สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้

กรมประมงจึงได้พัฒนาแผนปฏิบัติการพัฒนาสัตว์น้ำสวยงาม พ.ศ. 2566–2570 โดยรวบรวมผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาหารือ จนได้ 4 ยุทธศาสตร์ 13 แนวทาง หรือ 13 แผนงาน ครอบคลุมตั้งแต่การวิจัยการเพาะพันธุ์ การเลี้ยง การส่งเสริมการตลาด และการส่งออก ลดเงื่อนไขและข้อจำกัดในการพัฒนาด้านการเพาะเลี้ยง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศ มีวิสัยทัศน์ คือ “เป็นผู้นำการผลิตและการค้าสัตว์น้ำสวยงามที่มีมาตรฐานเพื่อการส่งออกและอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์น้ำสวยงามของไทยเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน” เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายภายใต้วิสัยทัศน์และพันธกิจ จึงกำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้
ยุทธศาสตร์ที่ 1 การวิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ เพื่อให้ได้เทคโนโลยีและนวัตกรรมการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำที่นำไปสู่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ได้มาตรฐานคุ้มค่ากับการลงทุน
ยุทธศาสตร์ที่ 2 การบริหารจัดการด้านระบบมาตรฐานและการจัดการฐานข้อมูล เพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตของเกษตรกรผู้ผลิตสัตว์น้ำสวยงามให้ได้ปริมาณ มีคุณภาพและได้มาตรฐานที่ มีความยั่งยืนในอาชีพ
ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งให้แก่เกษตรกรผู้ผลิตสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ เพื่อให้เกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำ และผู้ประกอบการ มีองค์ความรู้และใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อนำไปปรับใช้ในการผลิตอย่างยั่งยืน
ยุทธศาสตร์ที่ 4 การขยายช่องทางการตลาดของสัตว์น้ำสวยงามและพรรณไม้น้ำเพื่อให้เกษตรกรมีทางเลือกในเรื่องการตลาดและการเข้าถึงตลาดเพื่อนำไปสู่การปรับกระบวนการผลิตที่ตอบสนองกับความต้องการของตลาด

นอกจากนี้ กรมประมงได้หาแนวร่วมในการขับเคลื่อนขยายช่องทางการขนส่งสัตว์น้ำ โดยดึงพันธมิตรอย่างไปรษณีย์ไทย ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีความพร้อม เข้ามาร่วมผลักดันด้านการขนส่งสัตว์น้ำ ผ่านการทำบันทึกข้อตกลง โดยเมื่อวันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2568 ได้มีการหารือล่าสุด เพื่อสรุปผลการทดสอบการขนส่งสัตว์น้ำมีชีวิตผ่านระบบขนส่งไปรษณีย์ไทย พร้อมทั้งร่วมกันพิจารณาเพิ่มชนิดสัตว์น้ำ ที่มีความสามารถในการดำเนินการขนส่งผ่านระบบไปรษณีย์ไทยเพิ่มเติมจากเดิมที่มี 7 ชนิด ได้แก่ ปลากัด ปลาสอด ปลาหางนกยูง กบ ปลาไหล กลุ่มหอยฝาเดียวและไข่หอย กลุ่มพรรณไม้น้ำ โดยจากผลการทดสอบฯ มีสัตว์น้ำมีชีวิตที่ผ่านการทดสอบเพิ่ม จำนวน 3 ชนิด ได้แก่ สาหร่ายพวงองุ่น สาหร่ายผักกาดทะเล และเห็ดทะเล ซึ่งกรมประมงจะดำเนินการเพิ่มรายชื่อชนิด/กลุ่มสัตว์น้ำลงในเอกสารแนบท้ายบันทึกข้อตกลง เพื่อให้เกษตรกรสามารถขนส่งสัตว์น้ำมีชีวิตดังกล่าวเพิ่มเติม ผ่านระบบไปรษณีย์ไทยได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2568

นอกจากนั้นยังมีการหารือแนวทางการส่งออกสัตว์น้ำสวยงามไปต่างประเทศร่วมกับไปรษณีย์ไทย โดยพิจารณาขอบเขตความร่วมมือในการจัดทำบันทึกแนบท้ายข้อตกลงในการส่งออกสัตว์น้ำสวยงามไปต่างประเทศผ่านช่องทางไปรษณีย์ไทย เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้เพาะเลี้ยง ฟาร์ม ผู้ประกอบการที่ส่งออกปลากัดและปลาสวยงาม โดยมุ่งหวังให้เกษตรกรทุกระดับสามารถดำเนินการส่งออกสัตว์น้ำไปยังต่างประเทศได้โดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง เพื่อหวังให้เกิดการเรียนรู้ สร้างช่องทางในการแข่งขัน และเปิดทางเลือกให้กับเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเพิ่มมากขึ้น

