“แม้ว่าคดีฮั้วเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)จะงวดเข้ามาถึงขั้นที่คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 26 ของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ออกหมายเรียก สว.55 คนมารับทราบข้อกล่าวหากรณีมีเหตุอันควรสงสัยหรือปรากฏได้ทำผิดฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.)ว่าด้วยการได้มาซึ่ง สว.พ.ศ.2561 ในหลายมาตรา รวมถึงแกนนำพรรคภูมิใจไทยในพื้นที่ทั้งอีสานและภาคใต้ก็โดนหมายเรียกด้วยนั้น“

มีเสียงวิจารณ์ว่าคดีนี้อาจจะไปไม่สุดทาง เป็นแค่เกมการเมืองไว้ต่อรองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย เพราะถ้าจากรูปแบบคดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จุดพลุขึ้น จากนั้น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เดินเกมสุดตัวเปิดเผยข้อมูลแบบไม่เกรงใจ สว.สายสีน้ำเงิน 138 คน
กระทั่งถูก สว.สีน้ำเงินยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่และในวันที่ 14 พฤษภาคม ยื่นข้อมูลอีกชุดเพื่อให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาประกอบกัน ผลตุลาการศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องแล้วชี้ขาดทันทีให้ พ.ต.อ.ทวีหยุดปฏิบัติหน้าที่ในส่วนกำกับดูแลดีเอสไอ
แม้ พ.ต.อ.ทวี จะพ้นหน้าที่แต่ในทางพฤตินัยไม่สามารถตัดขาดกันได้ เพราะต่างทราบกันดีว่า พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีดีเอสไอ เป็นลูกน้องเก่าของ พ.ต.อ.ทวี มีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น พลันที่ พ.ต.อ.ทวี รับตำแหน่งเสนาบดี ชื่อ พ.ต.ต.ยุทธนา เต็งจ๋าตำแหน่งอธิบดีที่ว่างอยู่คดีฟอกเงินที่เกี่ยวโยงกับการคดีฮั้วเลือกตั้งสว.ย่อมไม่พ้นสายตา พ.ต.อ.ทวีอยู่ดี
จึงขอทำนายล่วงหน้าว่าคดีเกี่ยวสว.สีน้ำเงินที่ดีเอสไอกำลังสืบสวนสอบสวน รุดหน้าแบบที่สามารถเอาผู้เกี่ยวข้องเข้าคุกได้แน่นอน เพียงแต่จะลุยแบบสุดทางหรือยั้งไว้เพื่อต่อรองอำนาจทางการเมือง ถ้าหากลุยสุดทางถึงขั้นเอาผู้เกี่ยวข้องที่ฮั้วเลือกตั้งและเส้นทางเงิน โดยเฉพาะ สว.ที่อยู่ในข่ายที่ถูกกล่าวหาว่าทำผิด มีการดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหานำเข้าสู่กระบวนการทางศาล จากนั้นเสนอศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาให้พ้นสภาพการเป็นส.ว.ทั้ง 138 คน กกต.ต้องจัดเลือกตั้งใหม่เพราะที่สำรองไว้คงไม่เพียงพอ หรือศาลสั่งให้ล้มกระดานเลือกตั้งใหม่ทั้งหมด
หากเป็นไปตามที่วิเคราะห์การเลือกตั้งจะเดินตามกติกาเดิมที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)คิดสูตรไว้แบบหนึ่งเดียวในโลก จะเข้าทำนองเตะหมูเข้าปากหมา โดยกลุ่มที่กุมอำนาจมีทั้งอำนาจและกำลังเงิน จะเดินตามรูปแบบเดิมคือระดมคนสมัครทั้ง 20 กลุ่ม วางเป้าไว้ว่าคนกลุ่มไหนตัวเป้ากลุ่มไหนทำหน้าที่โหวตเตอร์ ผลลงคะแนนจะจบแบบที่ผ่านมา
ถ้ามองอย่างวิเคราะห์จากกติกาที่กกต.วางไว้ ตั้งแต่ระดับอำเภอหรือเขต สู่ระดับจังหวัด และระดับชาติ ทุกระดับจะมีแต่ฮั้วหรือดิวกันเพื่อขอคะแนนทั้งสิ้น ถ้าไม่มีการจัดตั้งหรือจ้างมาสมัครใช้กฎกติกาแบบตรงไปตรงมา คะแนนที่แต่ละคนได้รับเลือกจะได้ไม่เกิน 2 หรือ3 คะแนนเท่านั้น เพราะเมื่อเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้งกันจริงๆมาแบบไร้การจัดตั้งผู้สมัครต้องลงคะแนนให้กันและกัน ผู้สมัครแทบจะไม่รู้จักกันเลย จะรู้จักเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนที่เลือกตั้งเท่านั้น หากควักเงิน 2,500 บาทเพื่อมาลงคะแนนให้คนอื่นโดยไม่มีการประสานกันมาก่อน น้อยคนนักที่จะเสียเงินฟรีเพื่อโหวตให้คนอื่น
ซึ่งการฮั้วจะมีทุกขั้นตอน ระดับอำเภอจะฮั้วเพียงแบบเล็กๆ ระดับจังหวัดการฮั้วจะเพิ่มความแรง พอสู่ระดับประเทศการฮั้วต้องเข้มข้นโหวตเตอร์ต้องยึดตามโพยที่สั่งเท่านั้นถึงจะกำชัย
ดังนั้นถ้ามีการล้มกระดาน สว.แล้วจัดเลือกตั้งใหม่ กลุ่มเดิมวางมือปล่อยให้กลุ่มใหม่เข้าดำเนินการจะเข้าทำนองเตะหมูเข้าปากหมา แต่เชื่อว่าคดีฮั้วเลือกสว.และคดีฟอกเงินที่อยู่ในมือของดีเอสไอและกกต. คงไปถึงขั้นต้องล้มกระดาน แต่ที่จุดพลุขึ้นมากลายเป็นคดีพอคาดเดาได้ว่าผู้เล่นในเกมอำนาจต้องการที่จะใช้เป็นเครื่องมือไว้ต่อรองกันมากกว่าหรือถือไว้กระตุกฝ่ายตรงข้ามเมื่อมีอาการพยศ
ทั้งนี้เป็นเพราะรัฐธรรมนูญที่ กรธ.ร่างขึ้นแล้วกลุ่มที่เห็นด้วยบอกว่าเป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยมองว่าเป็นรัฐธรรมนูญเลือกปฏิบัติ มีไว้จัดการฝ่ายที่ขัดแย้งกับผู้กุมอำนาจโดยใช้ผ่านองค์กรอิสระ ซึ่งพลพรรคของพรรคส้มจะรู้รสความข่มขื่นนี้เป็นอย่างดี
หากให้เลือกตั้ง สว.โดยไม่มีการฮั้ว มีเพียงแนวทางเดียวคือยกเครื่องรัฐธรรมนูญฉบับนี้เสียใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนทั้งประเทศเป็นผู้ยกร่างไม่ใช่มาแบบกรธ.ชุดที่ผ่านมา ซึ่งสมาชิกบางคนระบบคิดมีปัญหานิยมชมชอบการปกครองแบบเผด็จการมากกว่าประชาธิปไตย แถมแสดงอาการไม่พอใจเมื่อฝ่ายที่ตัวเองเชียร์ไม่ได้ครองอำนาจ
ดังนั้นถ้าจะให้ฉายารัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า”รัฐธรรมนูญเลือกปฏิบัติ”คงจะไม่ผิดนัก !!!


