นับแต่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ นั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) หรือนั่งตำแหน่งรักษาการ ผบ.ตร. เกิดคดีสำคัญๆส่งผลกระทบต่อสังคมและประชาชนเป็นวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นคดีดิไอคอนกรุ๊ป หลายฝ่ายกังวลว่าจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู เพราะผู้ต้องหาและผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับบุคคลหลายวงการ ไม่ว่าจะดารา พิธีกร รวมถึงนักการเมือง และมูลค่าความเสียหายเกือบหมื่นล้าน
แต่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานออกหมายจับกุมผู้บริหารหรือเรียกกันติดปากว่าบอสเข้าคุกกันทั่วหน้า ด้วยระยะเวลาไม่ถึงเดือน กระทั่งโอนคดีให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ไปลุยต่อ หรือลุยปราบอิทธิพลภายใต้ยุทธการ”CIB ขยี้อิทธิพล”เมื่อวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านตำรวจเปิดปฏิบัติการลุยค้นพื้นที่เป้าหมาย 118 จุดทั่วประเทศเพื่อกวาดล้างกลุ่มผู้มีอิทธิพลทั้งกลุ่มค้ายาเสพติด มือปืนรับจ้าง ค้าอาวุธสงคราม นายทุนปล่อยเงินกู้ และกลุ่มแก๊งอาญากรรมต่างๆ จับผู้ต้องหาได้ 102 คน ตรวจยึดอาวุธปืน 18 กระบอกและของกลางอื่นๆอีกจำนวนมาก
หรือในเช้าวันที่ 15 ธันวาคม ตำรวจภูธรภาค 2 ตำรวจกองปราบปรามกว่า 100 นายบุกค้นพื้นที่เป้าหมาย 5 จุดใน จ.ปราจีนบุรี หลังเกิดเหตุยิง นายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ หรือ สจ.โต้ง ตายในบ้านพักของนายสุนทร วิลาวัลย์ หรือโกทร นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปราจีนบุรี และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อหาหลักฐานทางคดีและกวาดล้างผู้มีอิทธิพลเพื่อให้ประชาชนรู้สึกอุ่นใจ
ผลงานเหล่านี้ล้วนมีชื่อของ พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะผู้วางแผนสั่งการ ปรากฏเคียงคู่กับ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ เสมอ เสมือนขุนพลข้างกายที่ได้รับความไว้วางใจสูง ถ้าเปรียบเสมือนมวยหลักระดับผู้บริหารสำนักนักงานตำรวจแห่งชาติในยุคนี้ไม่ได้เกินเลยไปแต่อย่างใด เพราะหากส่องประวัติบนเส้นทางสีกากี พล.ต.ท.อัคราเดช หลังพ้นรั้วสามพราน รุ่นที่ 41 จะพบว่า ประเดิมรับตำแหน่ง รอง สว.สส.สภ.บางละมุง จว.ชลบุรี ปี 2531 เป็นผู้บังคับการกองร้อย งานปกครองโรงเรียนนายร้อยตำรวจ ในปี 2538 ขยับเป็นนายเวรผู้บัญชาการโรงเรียนนายตำรวจ ปี 2539 ต่อมาปี 2541 นั่งตำแหน่ง สารวัตรแผนก(สว.ผ.) 12 กก. 3 ตำรวจท่องเที่ยว นครสวรรค์
ปี 2544 ขยับเป็น รอง ผกก.รฟ ปีถัดมานั่งตำแหน่งรองผกก.2 กองบังคับการกองปราบปราม(บก.ป.) ขยับเป็น ผกก.3 บก.ป. ปี 2550 ย้ายไปเป็นหัวหน้าโรงพักช้างกลางนครศรีธรรมราช ใปี 2551 ย้ายมานั่งผกก.2 บก.ป. หรือเรียกกันติดปากว่าผู้กำกับประเทศไทย
ปี 2554 ขยับเป็น รอง ผบก.รน. ย้ายกลับไปนั่งรองผบก.ป และนั่งรักษาการผบก.ป. ปี 2557 ถัดมาปี 2558 นั่งตำแหน่ง ผบก.ป.เต็มตัว จากนั้นขยับตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ ปี 2562 นั่ง รองผบช.ภ.3 ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ กรณีเกิดเหตุทหารใช้อาวุธปืนสงครามกราดยิงในห้างเทอร์มินอล 21 นครราชสีมา เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2563 มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก กระทั่งวิสามัญฆาตกรรมคนร้ายได้จากนั้นขยับเป็น ผบช.ประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปี 2564 ย้ายไปเป็น ผบช.ภ.6 ขยับเป็น ผู้ช่วย ผบ.ตร. ปี 2566
ในช่วงเวลาที่รับตำแหน่งต่างๆอาทิ ผกก.2 ป.ร่วมสางคดีพยายามฆ่า นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี กระทั่งจับกุมคนร้ายได้เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2552 ระหว่างนั่งตำแหน่ง รอง ผบก.ป.ได้ร่วมลุยตรวจค้นจับกุมกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ปราจีนบุรี ตามยุทธการปราจีนโมเดล ภายใต้การนำของ พล.ต.ท.ชนินทร์ ปรีชาหาญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ขณะนั้น โดย พ.ต.อ.อัคราเดช นำกำลังหน่วยคอมมานโด กองปราบปราม จับกุม นายเติมพงษ์ ฤทธิ์เดช หรือ สจ.โต้ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อและสกุลเป็นนายชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์ ทางสืบสวนช่วงปี 2550-2555 พบว่า สจ.โต้ง เป็นกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ โดยเฉพาะการฮั้วประมูลและสังหารนักการเมืองท้องถิ่นหลายคดี
ขณะนั่งกุมบังเหียน กองปราบปราม พล.ต.ท.อัคราเดช เดินหน้าจัดการกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลในจังหวัดต่างๆจำนวนมาก อาทิ เปิดยุทธการฟ้าสางที่ภูเก็ต ยุทธฟ้าสางที่สมุยยุทธการปฐมเจดีย์ ยุทธการฟ้าสางที่อุทัยธานี และยุทธการประจัญบานคนพาลเมืองลุงเมืองคอน เป็นต้น จับกุมผู้มีอิทธิพล อาวุธปืนและของกลางอื่นๆได้เป็นจำนวนมาก รวมถึงสางคดีที่ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ วางแผนฆ่านายชูวงษ์ แซ่ตั้ง นักธุรกิจรับเหมา และมีคดีเกี่ยวเนื่องที่ พ.ต.ท.บรรยิน บงการอีก 3 คดี จนสื่อมวลชนสายอาชญากรรมตั้งฉายาว่า”นายพลขาลุย”
เมื่อดูเส้นทางเติบโตบนถนนสายสีกากีของ พล.ต.ท.อัคราเดช ล้วนแต่ผ่านตำแหน่งสำคัญๆแทบทั้งสิ้น ไม่สามารถที่จะนำไปเปรียบเทียบกับนายพลที่เติบโตในยุคที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรีได้เลย เพราะหลายนายโตแบบไร้รากและโต้แบบบ่มแก๊ส ขาดประสบการณ์การบริหารงานสร้างรอยด่างให้กับองค์กรตำรวจถึงขั้นเกิดวิกฤติศรัทธาจากประชาชน
ถ้าได้ติดตามบทบาทการทำงานของพล.ต.ท.อัคราเดช จะพบว่ามากด้วยความสุขุม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความคืบหน้าของคดีที่รับผิดชอบด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงจะเสียรูปคดี แม้คดีจะสำคัญหรือโด่งดังแค่ไหนจะไม่เห็นอาการหิวแสงเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อรายการต่างๆจนเกิดดรามาให้สังคมกังขาแต่อย่างใด หากจะบอกว่า พล.ต.ท.อัคราเดช คือเสาหลักในเชิงบู๊และบุ๋น ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยุคนี้ เชื่อว่าตำรวจเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ทั่วประเทศคงยกมือโหวตให้
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ ”พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ” ไว้วางใจเลือกใช้บริการ พล.ต.ท.อัคราเดช ให้คุมคดีสำคัญๆ จนกลายเป็นเสมือนขุนพลข้างกายไปแล้ว !!!