หลายปีก่อน “คดีโฉนดถุงกล้วยแขก” เคยเป็นคดีดังที่เป็นข้อพิพาทระหว่าง พระธรรมนิเทศ หรือ พระพยอมกัลยาโณ เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว กับ เจ้าของที่ดินที่อยู่ติดวัด คดีนี้ต่อสู้คดีกันมาอย่างยาวนานกว่า 10 ปี สุดท้าย “พระพยอม” แพ้คดี
คดีนี้ เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2547 พระพยอม ซื้อที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา จากนางวันทนาที่ได้รับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ซึ่งครอบครองโดยปรปักษ์ และแบ่งขายที่ดินให้กับมูลนิธิวัดสวนแก้ว ในราคา 10 ล้านบาท การซื้อขายที่ดินทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ผ่านสำนักงานที่ดิน มีการโอนโฉนดมาเป็นของวัดสวนแก้วเรียบร้อย
ต่อมาปี 2549 ลูกของเจ้าของที่ดิน อ้างว่าที่ดินผืนนี้ไม่ใช่ของนางวันทนา แต่เป็นของ แม่ของเขาที่เสียชีวิตไปแล้ว และไปฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการครอบครองของนางวันทนา ปรากฎว่านางวันทนากลับเซ็นยอมความไม่ต่อสู้คดี ซึ่งการยอมความในครั้งนั้น ทำให้ต่อมาใน ปี 2550 ศาลสั่งเพิกถอนการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินปรปักษ์ของนางวันทนา ส่งผลให้โฉนดที่ดินที่มูลนิธิวัดสวนแก้วถืออยู่กลายเป็นโมฆะ และต้องคืนที่ดินให้ทายาทนางทองอยู่
คดีนี้กลายเป็นกรณีพิพาทใหญ่โตระหว่างพระพยอมกับกรมที่ดิน ถึงขนาดพระพยอมประกาศคว่ำบาตร งดรับกิจนิมนต์จากส่วนราชการทุกส่วนโดยไม่มีกำหนด โดยเฉพาะหน่วยงานของกรมที่ดิน พระพยอมอ้างว่า ตอนซื้อที่ดิน กรมที่ดินก็ไม่ได้แย้งหรือตรวจสอบว่าที่ดินผืนนี้ไม่ใช่ที่ปรปักษ์ และตนก็เข้ามาพัฒนาที่ดินผืนนี้อย่างเปิดเผยเป็นเวลา 2 ปี 7 เดือน โดยไม่มีใครคัดค้าน แต่จู่ ๆ โฉนดราคา 10 ล้านกลับเป็นโมฆะ พระพยอมเรียกโฉนดที่ดินดังกล่าวว่า “โฉนดถุงกล้วยแขก” (หมายถึงโฉนดที่ดิน 10 ล้าน แต่มีค่าเท่ากับถุงกล้วยแขก) แล้วทำอนุสาวรีย์โฉนดถุงกล้วยแขกตั้งไว้ที่วัดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แถมยังออกหนังสือชื่อ “ถุงกล้วยแขกพระพยอม” นับแต่นั้นเป็นต้นมา
ท้ายที่สุดบทเรียนของคดีนี้ ที่ทำให้เกิดการพลิกผัน ก็เนื่องจากต่อมานางวันทนาได้เซ็นยอมรับสภาพว่า ตัวเองเป็นเพียงผู้เช่า ส่งผลให้การซื้อขายที่ดินระหว่างเธอกับมูลนิธิวัดสวนแก้ว กลายเป็นโมฆะ
“ถ้านางวันทนายังยืนหยัด สู้แบบเดิมว่า ครอบครองมา ไม่ไปเปลี่ยนคำให้การตามที่ทนายของฝ่ายเขาแนะนำ ป่านนี้วัดก็ยังได้พัฒนาที่ดิน ให้คนไปทำมาหากินตรงนั้นได้ เมื่อสถานการณ์พลิกผัน นอกจากทางมูลนิธิฯ ไม่ได้ที่ดินแล้ว ยังต้องสูญเงินจำนวน 10 ล้านบาทที่จ่ายให้กับวันทนาไปอีกด้วย”