ปูดเช่ารถขยะ กทม.เกือบ 4 พันล้าน ส่อไม่โปร่งใส-อดีต สส.ร้อง ปปช.คุ้ย

437

    ดูอากัปกริยาของบรรดานักการเมืองที่เป็นนักการเมืองโดยอาชีพ หรือเป็นผู้นำม็อบแล้วกลายร่างมาเป็นนักการเมือง หรือพวกสื่อที่กลายร่างมาเป็นผู้นำม็อบ ตั้งแต่หลังเลือกตั้งมาปีกว่าจวบจนได้นายกรัฐมนตรีมาแล้ว 2 คน ต่างอยู่ในอาการกระหายอำนาจและผลประโยชน์แทบทั้งสิ้น

     คำว่าตะบัดสัตย์ คำว่ายอมกลืนเลือด ถูกนำมาใช้จนเกร่อ บ้างก็ใช้เหน็บฝ่ายตรงข้าม บ้างก็ใช้แก้ตัวเมื่อเดินเข้าสู่วังวนอำนาจและผลประโยชน์ แต่บางคนคำว่ายอมกลืนเลือดดูจะไม่เหมาะกับพฤติกรรมที่แสนสับปลับเพราะยังดูว่าสะอาด แต่ควรใช้คำว่าตักเลือดบนกองขี้กลืนเข้าไปน่าจะเหมาะกว่า

    แต่ละคำแต่ละวลีที่ยกล้วนแต่สื่อความหมายว่ากลุ่มคนเหล่านี้พร้อมที่จะกระโจนเข้าสู่แหล่งแสวงหาผลประโยชน์ด้วยการใช้อำนาจทางการเมืองหรือพลังมวลชนเป็นตัวขับเคลื่อน จึงไม่แปลกหลังม็อบยุติมวลสมาชิกที่หลวมตัวเข้าไปร่วมเดินขบวนหรือบริจาคเงินช่วยม็อบถามหาว่าเงินบริจาคหายไปไหนผู้นำม็อบและแกนนำคนไหนเก็บซุกไว้ ทำให้ผู้นำบางคนร้อนตัวออกมาชี้แจงข้างๆคูๆบางคนเก็บเงียบ แต่เมื่ออดีตผู้นำม็อบเปลี่ยนจุดยืนเกิดอาการหมางเมินกัน จะขุดแผลของแต่ละคนออกมาประจาน อย่างกรณีมีการถามหาเงิน 42 ล้านของม็อบแดง ว่าจะอยู่ในมือใคร ที่กระหึ่มอยู่ในขณะนี้

     สำหรับเงินม็อบแดง 42 ล้านมีจริงหรือไม่ ใครอมอยู่ คงต้องรอแกนนำชี้แจง แต่ปม 42 ล้านนี้พอสื่อได้ว่าการจัดม็อบแต่ละครั้งล้วนมีผลประโยชน์ซ่อนอยู่  ที่ยกปรากฏการณ์ต่างมานำเสนอเพื่อสื่อให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวต่างๆให้ได้มาซึ่งอำนาจ ล้วนกรุยทางไปสู่ผลประโยชน์เพื่อตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นอำนาจในระดับชาติหรือระดับท้องถิ่น ล้วนแต่มีช่องที่จะให้แสวงหาผลประโยชน์แทบทั้งสิ้นหากใจไม่นิ่งพอแบบพระอรหันตแม้แต่การปกครองท้องถิ่นพิเศษแบบกรุงเทพมหานคร (กทม.)ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเรามักจะได้ยินข่าวผู้บริหารกทม.เกือบทุกชุดถูกร้องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบเสมอมา

    ขนาดยุคของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม.ที่ได้ชื่อว่าผู้ว่าฯมือสะอาด เพราะจัดการแบบฉับไวกับเจ้าหน้าที่กทม.ที่กระทำการทุจริต แต่ในการประมูลโครงการใหญ่ๆกลับทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนไหนหรือไม่ อย่างกรณีโครงการเช่ารถขนขยะเก็บขนมูลฝอยมูลค่าเกือบ 4 ล้านบาท กำลังเป็นข่าวครึกโครม เมื่อนายประเดิมชัย บุญช่วยเหลือ อดีต สส.เพื่อไทยและอดีตประธานสภากทม.ออกมาแฉว่าได้รับการร้องเรียนจากข้าราชการกทม.ว่า โครงการเช่ารถขยะเก็บขนมูลฝอย 4 โครงการ 884 คัน วงเงิน 3,993,761,464 บาทระยะเช่า 5 ปี มีความไม่ชอบมาพากลในการเช่ารถขยะฯทดแทนรถเดิมที่หมดสัญญา โดยจะเช่าจำนวน 842 คัน จะทำให้กทม.เสียหายในลักษณะเอื้อประโยชน์และกีดดันผู้ประกอบการ

   “นอกจากโครงการดังกล่าวแล้วผู้บริหารที่มีส่วนเกี่ยวข้องยังดำเนินการเพื่อที่จะให้เช่ารถเก็บขยะมูลฝอยชั่วคราว เป็นเวลา 271 วัน 4 โครงการ วงเงิน 241 ล้านบาท ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการในลักษณะที่ไม่โปร่งใส สร้างความเสียหายให้กับกทม. ได้ร้องต่อ ป.ป.ช.แล้วและเตรียมยื่นฟ้องอีกหลายที่”นายประเดิมชัยระบุและยังว่าโครงการนี้มีข้อพิรุธหลายอย่างอาทิ เปลี่ยนสเปคจากเดิมรถดีเซลหรือรถพลังงานไฟฟ้า  เปลี่ยนเป็นรถพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว อายุผ่านการใช้งาน 7 ปี แก้เป็นผ่านการใช้งานไม่เกิน 5 ปี รวมถึงใบเสนอราคาที่ดูไม่โปร่งใส

นายประเดิมชัยระบุอีกว่าประเทศไทยมีบริษัทดำเนินการเรื่องรถไฟฟ้าหลายสิบบริษัท แต่มีเพียง 3 บริษัทเท่านั้นที่ส่งใบเสนอราคามา อีกข้อห่วงใยคือช่วงระหว่างที่รถเก็บขยะที่หมดสัญญาเมื่อวันที่ 30 กันยายน จำนวน 102 คัน กทม.จะหารถที่ไหนมาจัดเก็บขยะจำนวนมหาศาลเพราะกทม.มีปริมาณขยะถึงวันละ 1หมื่นตัน

  ขณะที่นายจักรพันธุ์ ผิวงาม รองผู้ว่าฯกทม.บอกว่า กทม.ใช้วิธีการเช่ารถเก็บขยะมูลฝอยมาตั้งแต่แต่ปี 2545 มีรถเก็บขยะมูลฝอย 4 ประเภทที่จะหมดสัญญาในปี 2567-2568 ที่จะหมดสัญญาเร็วที่สุดคือประเภทรถยกภาชนะ 3ลูกบาศก์เมตร จำนวน 102 คัน หมดสัญญาในวันที่ 30 กันยายน 2567 กทม.ได้เตรียมจัดซื้อจัดจ้างรถขยะทดแทนตั้งแต่ปี 2566 แต่ติดข้อร้องเรียน ทำให้โครงการหยุดชะงัก เป็นอันต้องยกเลิกไป ดังนั้นในปีงบประมาณ 2568 สำนักสิ่งแวดล้อมจึงเสนอโครงการเช่ารถขยะไฟฟ้าทั้งหมด 4 โครงการ ซึ่งผ่านสภากทม.เรียบร้อยแล้ว

   “ในส่วนรถขยะที่หมดสัญญาวันที่ 30 กันยายน จะทำให้กทม.ไม่มีรถขนขยะมาใช้ สำนักสิ่งแวดล้อมฯได้รับงบกลางเพื่อจัดการรถขยะเร่งด่วนแล้ว ระยะเช่าไม่เกิน 270 วัน โดยเมื่อเปรียบเทียบค่าเช่ารถดีเซลกับรถไฟฟ้าในช่วงระยะเวลา 9 เดือน พบว่ารถไฟฟ้าประหยัดกว่ารถดีเซลกว่า 127 ล้านบาท”นายจักรพันธุ์ ระบุและว่าระหว่างนี้รถยกภาชนะขนาด 3 ลูกบาศก์เมตรที่สัญญาเช่าหมดไปแล้วรถยังไม่มีใช้ จะนำรถที่ยังมีใช้อยู่กว่า 1,000 คนที่วิ่งไม่ถึง 200 กิโลเมตร มาเข้าจัดเก็บทดแทน แก้ปัญหาจัดหารถไม่ทัน กรณีเอกสารไม่ถูกต้อง ไม่ครบถ้วน ไม่สมบูรณ์ ต้องยกเลิก ยืนยันว่าตรวจสอบทุกขั้นตอนเพื่อไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้น


          จากข้อมูลที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอ ยังไม่มีความชัดเจนพอ แต่เมื่อกล่าวหาและร้องเรียนกันขอให้นายชัชชาติ ช่วยทำความจริงให้กระจ่างเพราะมูลค่าโครงการสูงเกือบ 4 พันล้านบาท หากตกหล่นในกระเป๋าใครเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์มีมูลค่ากว่าร้อยล้านแล้ว ด้วยการทำคู่ขนานกับป.ป.ช.ที่มีการร้องเรียนไว้

          ผลจะออกมาอย่างไรสังคมเชื่อในเครดิตของนายชัชชาติ อยู่แล้ว เพราะมั่นใจว่าเข้ามาในวงจรอำนาจการเมืองเพื่อทำงานให้ส่วนรวมแบบไม่แสวงหาผลประโยชน์ ซึ่งแตกต่างกับนักการเมืองบางคนบางกลุ่มที่หิวโซกับผลประโยชน์ถึงขั้นยอมตะบัดสัตย์และยอมกลืนกินเลือดบนกองอาจม !!!