3 รมต.เกษตรฯประเดิมงานแรกร่วมติดตามสถานการณ์น้ำ
3 รมต.เกษตรฯ ติดตามสถานการณ์อุทกภัยลุ่มเจ้าพระยา กำชับกรมชลฯ เตรียมรับมือฝนตกหนัก พร้อมปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เร่งประชาสัมพันธ์ลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด
นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.เกษตรฯ พร้อมนายอิทธิ ศิริลัทธยากร นายอัครา พรหมเผ่ารมช.เกษตรฯ นายประยูร อินสกุล ปลัดเกษตรฯ และคณะผู้บริหารกระทรวงเกษตรฯ หัวหน้าส่วนราชการ ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.ชัยนาท และ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยช่วงเช้าเดินทางไปยัง สำนักงานชลประทานที่ 12 เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท เพื่อติดตามการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา จากนั้นช่วงบ่าย ลงพื้นที่ตรวจติดตามสถานการณ์อุทกภัย ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ณ ประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา
ทั้งนี้ จากประกาศกรมอุตุนิยมวิทยาคาดสถานการณ์พายุไต้ฝุ่น “ยางิ” (YAGI) เมื่อขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนบน จะอ่อนกำลังลงส่งผลให้ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน มีฝนตกหนักถึงหนักมาก โดยพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่คาดจะมีปริมาณฝนเพิ่มขึ้น ประกอบกับเขื่อนสิริกิติ์มีแนวโน้มปรับเพิ่มการระบายน้ำ เพื่อรองรับน้ำหลากในช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม ซึ่งจะส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลผ่านจ.นครสวรรค์ ที่สถานีวัดน้ำ C2 เพิ่มสูงขึ้นอยู่ในอัตรา 1,500 -1,600 ลบ.ม./วินาที ก่อนที่จะไหลลงสู่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท
กรมชลประทาน ได้บริหารจัดการน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยา โดยการรับน้ำเข้าระบบชลประทานทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ตามศักยภาพของคลองชลประทานในอัตราที่เหมาะสม และเพื่อให้การบริหารจัดการน้ำเป็นไปตามเกณฑ์การบริหารจัดการน้ำของเขื่อนเจ้าพระยาและสามารถรองรับปริมาณน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาที่จะเพิ่มขึ้นจากฝนที่ตกในระยะนี้ได้ จึงจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำผ่านเขื่อนเจ้าพระยาในอัตราระหว่าง 1,500 – 1,700 ลบ.ม./วินาที ซึ่งจะส่งผลให้ระดับน้ำบริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาและพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ บริเวณคลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา แม่น้ำน้อยบริเวณ ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดน อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา เพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 20 – 50 ซม.โดยกรมชลประทานได้ทำหนังสือแจ้งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง 11 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยาแล้ว ประกอบด้วย จ.อุทัยธานี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง สุพรรณบุรี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ และ กรุงเทพฯ
จากสถานการณ์ดังกล่าล นางนฤมล ได้กำชับให้กรมชลประทาน เตรียมความพร้อมรับมืออย่างใกล้ชิด โดยเตรียมพร้อมเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ ประจำไว้ในพื้นที่เสี่ยง และเน้นย้ำให้แจ้งเตือนและประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับสถานการณ์น้ำในพื้นที่ให้ประชาชนทราบอย่างทั่วถึง เพื่อช่วยลดผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุดตามนโยบายของรัฐบาล
สำหรับการบริหารจัดการน้ำลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำจากพื้นที่ตอนบนที่ระบายจากเขื่อนภูมิพล สิริกิติ์ และแควน้อยฯ ไหลมารวมกันที่ต้นแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีวัดน้ำ C.2 ค่ายจิรประวัติ จ.นครสวรรค์ ปัจจุบัน 1,481 ลบ.ม./วินาที โดยกรมชลประทาน บริหารจัดการน้ำเข้าระบบชลประทานฝั่งตะวันออกและฝั่งตะวันตก รวมรับน้ำ 292 ลบ.ม./วินาที ขณะที่ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาวันนี้ 1,498 ลบ.ม./วินาที โดยเขื่อนเจ้าพระยามีความสามารถในการระบายน้ำผ่านเขื่อนอยู่ที่ 3,000 ลบ.ม./วินาที
จากนั้น ทั้ง 3 รมติ.เกษตรฯพร้อมคณะเดินทางไปยังประตูระบายน้ำปากคลองบางบาล อ.บางบาล เพื่อติดตามความก้าวหน้าโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล – บางไทร เพื่อเพิ่มศักยภาพการระบายน้ำของแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณก่อนเข้าตัวเมือง จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยซ้ำซากในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา พร้อมทั้งหารือแนวทางเพื่อป้องกันปัญหาอุทกภัย ตลอดจนเร่งผลักดันโครงการต่าง ๆ ที่สำคัญ เพื่อให้การบริหารการจัดการน้ำเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยจากการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยา มีทั้งหมด 2 จังหวัด 8 อำเภอ 11,639 ครัวเรือน (ข้อมูล ณ วันที่ 8 ก.ย.) ได้แก่ จ.พระนครศรีอยุธยา ประกอบด้วย 1) อ.เสนา 7 ตำบล 2,792 ครัวเรือน 2) อ.ผักไห่ 13 ตำบล 2,582 ครัวเรือน 3) อ.บางปะอิน 10 ตำบล 1,432 ครัวเรือน 4) อ.พระนครศรีอยุธยา 11 ตำบล 573 ครัวเรือน 5) อ.บางบาล 14 ตำบล 1,737 ครัวเรือน 6) อ.บางไทร 21 ตำบล 2,490 ครัวเรือน 7) อ.บางปะหัน 1 ตำบล 24 ครัวเรือน และ จ.อ่างทอง ได้แก่ อ.ป่าโมก 1 ตำบล 9 ครัวเรือน.