อดีต 44 สส.ก้าวไกลคงลุ้นระทึกได้ไปต่อหรือจะซ้ำรอยยุบพรรค ชี้หากผิด-ม็อบโซเชียลคงกระหึ่ม

5330

          ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของบรรดาคอการเมืองหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5:4 ให้นายเศรษฐา ทวีสิน พ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีฐานละเมิดมาตรฐานทาจริยธรรมอย่างร้ายแรง เพราะก่อนจะถึงวันพิพากษาต่างเชื่อมั่นว่าน่าจะผ่านไปได้

         ดังนั้นในช่วง 2-3 วันนี้บรรดาแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลคงจะเจรจาต่อรองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและเสนาบดีกันชุลมุน นายกรัฐมนตรีจะตกไปที่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยหรือน.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าเพื่อไทย และนายชัยเกษม นิติสิริ พรรคเพื่อไทย คงต้องลุ้นว่า เจ้าของพรรคจะเลือกใคร


      “จอมมารน้อย”ขอลุ้นเงียบๆ แต่ขอนำเสนอปรากฏการณ์ทางการเมืองหลังพรรคก้าวไกลถูกยุบดีกว่า เพราะนับแต่ติดตามการเมืองตั้งแต่วัยละอ่อนจนก้าวสู่อาชีพผู้สื่อข่าวเกือบ 30 ปี ไม่เคยเห็นการตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนมากมายขนาดนี้  เพราะพลันที่แกนนำอดีต สส.ก้าวไกล เข้าบ้านหลังใหม่นามพรรคประชาชน ประกาศระดมทุนให้ได้ 10 ล้านก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมพร้อมหาสมาชิกพรรคให้ครบจำนวน 1 แสนคน เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันสามารถระดมเงินได้กว่า 25 ล้านบาท ภายใน 3วันที่ผู้สมัครสมาชิกพรรคกว่า 50,000 คน

     จน น.ส.พรรณิการ์ วานิช โพสต์ว่านี่คือปลาหมอคางส้มชัดๆ สายพันธุ์เอเลี่ยนป่วนระบบนิเวศน์การเมืองไทย ปราบไม่ไหวแพร่ขยายไม่หยุด เกินควบคุมแล้วจ้า ผู้นำเข้ามาคือนายทุนใหญ่สุดของประเทศ ได้แก่ประชาชน เมื่อประชาชนตอบรับอย่างล้นหลามส่งผลให้กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามเกิดอาการตาร้อนจ้องหาช่องว่างกฎหมายเล็กๆน้อยๆยื่นให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยุบพรรค

       ซึ่งปรากฏการณ์ประชาชนควักเงินในกระเป๋าคนละเล็กคนละน้อยบริจาคให้พรรคการเมืองแบบเต็มใจไม่เคยเกิดขึ้นให้เห็นเป็นที่ประจักษ์  เพราะที่ผ่านมาเงินที่พรรคการเมืองนำมาเป็นทุนทำกิจกรรมหรือใช้หาเสียง ส่วนใหญ่รับบริจาคจากบรรดานายทุนรายใหญ่ที่ผูกขาดธุรกิจของประเทศ บางพรรครับบริจาคจากธุรกิจสีเทา บางพรรคกอบโกยช่วงเป็นรัฐบาลทั้งเข้ากระเป๋าตัวเองและบำรุงพรรค

     ยิ่งในยุคที่รัฐบาลเผด็จทหารครองเมือง ที่ผู้นำพร่ำอยู่เสมอว่าซื่อสัตย์สุจริต ชังคอรัปชั่น แต่กลับเป็นยุคที่นายทุนผูกขาดร่ำรวยแบบมหาศาล นำเงินมาแปลงเป็นกล้วยแจก สส.ให้ค้ำบัลลังก์นายกรัฐมนตรีได้อีกต่างหาก ผลพวงจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคก้าวไกล กลายเป็นดัชนีชี้วัดว่าประชาชนตื่นตัวทางการเมืองอย่างสูง  ด้วยการแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นว่าอยากสนับสนุนคนรุ่นใหม่เข้าบริหารประเทศ เพราะมั่นใจว่าน่าจะดีกว่านักการเมืองรุ่นเก่าที่ยึดกุมอำนาจมาอย่างยาวนาน  แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านระดับกลางถึงระดับรากหญ้าไม่มีโอกาสกระเตื้องแถมเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐานการบังคับใช้กฎหมายที่ผู้มีอำนาจทำผิดไม่ต้องนอนคุกแม้แต่วันเดียว คนรุ่นใหม่แจ้งเกิดทางธุรกิจได้น้อยมาก

   หากจะมองว่าการยุบพรรคก้าวไกลคือตัดตอนไม่ให้รุ่นใหม่แจ้งเกิดเหมือนที่เคยตัดตอนพรรคอนาคตใหม่มาแล้วคงไม่ผิดนัก แต่ผลแห่งการตัดตอนกลายเป็นการตัดตอนเพื่อขยายพันธุ์แถมกลายเป็นชนวนสร้างความแตกแยกซึมลึกลงไปถึงระดับสถาบันครอบครัวอีกต่างหาก จากกระแสพรรคประชาชนที่กำลังพุ่งกระฉูด น่าจะไปสะกิดให้บรรดาผู้กุมอำนาจรัฐ  และองค์กรอิสระทั้งหลายมักจะชี้ตายนักการเมืองที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มอนุรักษ์นิยม ได้เห็นบ้างว่าทุกครั้งที่ชี้ตาย มักจะมีปฏิกิริยาต่อต้านค่อยข้างหนักผ่านสื่อโซเซียล มีทั้งขุดธุรกิจที่ผูกขาดขึ้นมาประจาน ขุดเรื่องส่วนตัวที่ประพฤติมิชอบผิดศีลธรรมขึ้นมาแฉ

     ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดรอยร้าวที่จะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปมอดีต 44 สส.พรรคก้าวไกล ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ชี้มูลว่าผิดจริยธรรมฐานร่วมลงชื่อแก้ไขมาตรา 112 เตรียมส่งให้ศาลฎีกาพิจารณานั้น น่าจะเป็นโจทย์ยากในการพิจารณา เพราะไม่ว่าออกทิศทางไหนล้วนแต่จะกลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ทั้งสองฝ่าย แม้จะมีระยะเวลาอีกนานหลายเดือนได้แต่หวังว่าผลการพิจารณาน่าจะออกมาแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่ถ้าออกมาแบบอดีต 44 สส.ผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงมีโทษเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 10 ปี และไม่มีสิทธิ์ดำรงตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เชื่อว่าจะมีแรงกระเพื่อมค่อนข้างแรง เพราะในจำนวน 44 สส.ล้วนแต่เป็นนักการเมืองที่เปี่ยมคุณภาพทั้งการตรวจสอบและผู้นำทางความคิดแทบทั้งสิ้น

        เมื่อผลตัดสินออกมาเป็นลบเชื่อว่าบรรดาอดีต 44 สส.และแกนนำพรรคประชาชน คงยึดจุดเดิมคือไม่ลงถนน แต่เชื่อว่ากระแสในโซเชียลดังกระหึ่มแน่นอน โดยเฉพาะแฟนคลับคนรุ่นใหม่ ที่เก็บความคับแค้นไว้แน่นอกอาจจะขุดข้อมูลแบบลับๆ ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มทุนผูกขาดและกลุ่มอนุรักษ์นิยมขึ้นมาประจานแบบผลิตซ้ำวนไปเวียนมาก็เป็นได้

      ซึ่งพฤติกรรมนี้จะเรียกว่าม็อบโซเชียลคงไม่ผิด ถ้าเกิดขึ้นจริงน่ากลัวกว่าม็อบลงถนนเสียอีก เพราะทุกข้อมูลที่สื่อสารกระจายไปทั่วประเทศและทั่วโลก แต่ม็อบลงถนนข้อมูลจะจำกัดอยู่เพียงในกลุ่มเท่านั้น  !!!