‘กลับมาแล้วสำหรับการรีวิวเที่ยวนครหลวงเวียงจันทน์ ของ สปป.ลาว ด้วยงบหลักพันด้วยการนั่งรถไฟขบวนประวัติศาสตร์ กรุงเทพฯ – เวียงจันทน์ ซึ่งเปิดให้บริการเที่ยวแรกเมื่อวันที่ 19 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งรองเท้าแก้วได้รีวิวการจองตั๋วรถและการนั่งรถไฟชั้น 3 (พัดลม) ราคา 281 บาท และการเที่ยววัดวาอารามและสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆในเมืองเวียงจันทน์ไปแล้ว วันนี้จะมารีวิวการอยู่ที่เวียงจันทน์วันที่สองก่อนจะนั่งรถไฟขบวนประวัติศาสตร์กลับแต่ขากลับเราจองที่นั่งรถตู้แอร์ได้ สบายกว่าตอนขามานิดหน่อย
หลังจากที่ได้โรตีคุณลุงหน้าโรงแรมเมื่อคืนก็หลับเป็นตายเลยทุกคน แต่ในช่วงเช้าวันนี้เรานัดกันไปหาอะไรอร่อยๆทานและไปเดินตลาดที่เมืองเวียงจันทน์ โดยเป็นตลาดที่อยู่ใกล้ๆกับตลาดเช้า ซึ่งในตอนแรกเราใช้วิธีเดินลัดเลาะสำรวจวิถีชีวิต ตึกรามบ้านช่องไปเรื่อยๆ แต่เดินได้ไม่นานเราก็ต้องยอมแพ้ให้กับแสงแดดเจิดจ้ามากๆ จึงเรียกรถสามล้อให้ไปส่งที่ตลาด ซึ่งตอนแรกเราคิดไว้ว่าตลาดยามเช้าๆของเมืองเวียงจันทน์ ฟิลก็น่าจะคล้ายๆตลาดบ้านเรา ที่จะมีของกินพวกน้ำเต้าหู้ ข้าวเหนียวหมูปิ้ง โจ๊กข้าวต้ม ร้อนๆแบบนี้ แต่เอาเข้าจริงคือไม่มีเลยทุกคน มีแต่ขายผลไม้ ขายผัก ขายหนังวัวหรือควายนี่แหละ ซึ่งพี่ที่เคยไปบอกว่าต้องมีหนังวัวหนังควายขายถ้าไม่มีแสดงว่ายังไปไม่ถึงตลาดสดที่ สปป.ลาว ซึ่งก็น่าจะจริงเพราะมีขายหลายร้านเลยแบบกองๆกันไว้
เราเดินเล่นตลาดได้ไม่นานเพราะหิว แต่เนื่องจากไม่มีของกินเลย มีแต่ขนมไข่หงษ์ที่พอจะซื้อกินได้ แล้วก็มีร้านขนมจีนแต่ก็แบบร้านในตลาดสดใกล้จะปิดแล้ว จึงตัดสินใจเรียกรถสามล้อกลับมาหาอะไรที่ร้านแถวๆโรงแรม มองเห็นร้านขายแหนมเนืองเห็นคนต่อแถวซื้อกันเยอะเลย จึงตัดสินฝากท้องมื้อเช้าวันที่นี่ หน้าตาก็ตามภาพเลยนะทุกคน รสชาติไม่จัดจ้านเหมือนบ้านเรา แต่ก็พอกินได้ ใดๆเขาเสริฟผักมาให้แบบเป็นสวนเลยให้ผักเยอะมากๆ ส่วนน้ำจิ้มก็จะมีสองแบบให้เลือก แบบหวานกับเผ็ด แล้วก็มีเครื่องเคียง พริก กระเทียม มะเฟือง มะนาว ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือแหนมมีให้เลือกแบบเป็นชิ้นกับเป็นชุด ขณะที่กำลังนั่งกินอร่อยๆ ได้ยินเสียงพี่ผู้ชายสองคนโต๊ะข้างๆคุยกันเป็นภาษาไทย ก็เลยทักทายและพี่เค้าก็บอกว่า มากับขบวนรถไฟเที่ยวประวัติศาสตร์เหมือนกันและก็เที่ยวเวียงจันทน์และจะกลับขบวนเดียวกันกับเราด้วย แถมยังบอกว่ากินแหนมเนืองเสร็จก็จะไปหาไอศครีมกิน ซึ่งมีร้าน Mixue ของจีนมา เปิดใกล้ๆร้านแหนมเนืองนี่เอง
หลังกินอิ่มเชคบิลไปประมาณ 3แสนกีบ เราก็ไปต่อที่ร้าน Mixue ตามคำแนะนำของพี่สองคน สั่งชานมไข่มุกและไอศรีมมากิน ราคาก็พอๆกับร้านที่เปิดในไทย แต่รสชาติไม่รู้ต่างกันมั้ยไม่รู้เพราะส่วนตัวเพิ่งเคยกินครั้งแรก เอาไว้ถ้าได้ลองมากินที่ร้านในไทยแล้วจะมาบอกกล่าวนะ
‘หลังจากได้ทั้งของหวานและของคาวแล้ว เราก็เดินกลับมาที่โรงแรม เพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมไปหาคาเฟ่และเดินเที่ยวห้างรอเวลาไปขึ้นรถไฟตอน6โมงเย็น แต่ก่อนจะออกจากโรงแรมมีเรื่องให้หงุดหงิดและแอบสงสัยคิดไม่ดีนิดนึงทุกคน คือตอนเราลงมาจากห้องพัก เราลืมเอาคีย์การ์ดที่เสียบอยู่ตรงประตูลงมา ตอนลงมาจึงแจ้งพนักงานว่า ไม่ได้เอาคีย์การ์ดลงมานะ พนักงานก็บอกไม่เป็นไร ระหว่างที่นั่งรอรถ พนักงานก็บอกเราว่าที่ห้องไม่มีคีย์การ์ดเสียบอยู่นะ เราสามคนก็แบบสงสัยจะหายไปไหนได้ เพราะไม่ได้เอาลงมาจริงๆ ค้นหาในกระเป๋าทุกอย่างก็ไม่มี ประกอบกับรถที่เราเรียกไว้ก็มาถึงแล้ว เลยถามพนักงานว่าต้องทำยังไงเพราะลืมจริงๆแล้วก็หาไม่เจอด้วย พนักงานคิดเงินเราอีก 400 บาททุกคน คือแบบถ้าเราลืมและทำหายจริงๆก็ไม่ซีเรียส แต่ในใจก็แบบเค้าคิดตุกติกอะไรกับเราหรือเปล่า ถ้าแบบนั้นเราสาปนะ ฟิลแบบหงุดหงิดอะ ฮ่าๆ’
กลับมาที่รถเราใช้บริการแอพ kokkok (สีส้มๆ) ตามคำแนะนำของพี่ที่เคยมาก่อนบอกว่าราคาถูก ซึ่งก็จริง เราเรียกจากโรงแรมไปที่ห้าง Parkson ซึ่งแอปจะมีให้เลือกแบบสามล้อ หรือเป็นรถยนต์เก๋งก็ได้ เรากดเรียกรถยนต์เก๋ง ฟิลแบบแกร๊บไบค์บ้านเรา ที่คนมีเวลาว่างก็จะเอารถมาให้บริการผ่านแอป ส่วนราคาถูกกว่าการเรียกทั่วไปจริง โดยจากโรงแรมไปที่ห้างประมาณ 50 บาทเอง ก่อนหน้านี้เราเรียกสามล้อที่จอดอยู่ข้างทาง มีตั้งแต่ 60 บาทไปถึง 200-300 บาทเลย
เรามาถึงที่ห้างซึ่งตรงนี้จะมี2ห้างใหญ่ๆอยู่ติดกัน คือ พาร์คสัน ( Parkson )และ เวียงจันทน์ เซนเตอร์ โดยเราเข้าไปเดินที่ห้าง พาร์คสัน ที่แรก ซึ่งก็จะมีร้านขายเสื้อผ้าสินค้าแฟชั่น ร้านขายมือถือและอื่นๆ แต่บรรยากาศค่อยข้างเงียบเหงาและคนเดินไม่เยอะ จากนั้นเราก็ไปห้างเวียงจันทน์ เซนเตอร์ ที่อยู่ใกล้ๆกัน บรรยากาศก็ไม่ต่างจากห้างแรก เพราะค่อยข้างเงียบ เราเดินเข้าไปที่ร้าน Xiaomi เพื่อดูราคาก่อนจะไปถูกใจกับกระเป๋าใส่โน๊ตบุ๊ก ราคาไทยก็1,200 บาท เลยจัดมาเบาๆ2ใบ
จากนั้นก็เดินหาคาเฟ่นั่งเพราะยังเหลืออีก 2-3 ชม.กว่ารถไฟจะออก เดินไปเจอร้าน Shiba Hokgaido Milk Tea ซึ่งมีบริการ Wifi และที่นั่งให้พอดีก็เลยนั่งเล่นที่ร้านประมาณชั่วโมงนิดๆ
ก็เดินเล่นกันต่อที่ ตลาดเช้า ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับห้าง ใช้เวลาเดินประมาณ 5-10 นาที ก็มาถึง ที่ตลาดเช้าถือเป็นศูนย์รวมแหล่งช้อปปิ้งอีกแห่ง ลักษณะเป็นอาคารขนาดใหญ่ภายในก็จะขายเสื้อผ้ารวมถึงเครื่องประดับ ไม่ค่อยมีสินค้าของฝากของที่ระลึกที่เป็นของ สปป.ลาว ฟิลแบบโบเบ๊บ้านเรา ก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรติดไม้ติดมือกลับมา แต่ได้แวะทานเฝอ และอาหารตามสั่งที่ตลาดเช้า ซึ่งที่นี่น่าจะเป็นที่เดียวที่ปฎิเสธไม่รับเงินบาท โดยน้องพนักงานบอกเราว่า อยากจะช่วยชาติเซฟเงินกีบ เพราะอย่างที่ทราบว่าค่าเงินลาวอ่อนมาก ซึ่งเราก็เข้าใจได้และจ่ายเงินกีบกับทางร้านไป
จากนั้นเราก็เรียกรถ kokkok ซึ่งรอบนี้ได้รถสามล้อสีส้มตามที่อยากลองนั่ง โดยเรียกจากตลาดเช้าไปที่สถานีรถไฟคำสะหวาด (เวียงจันทน์) ราคา 56,000 กีบ หรือประมาณ 80 บาท ซึ่งรอไม่นานรถก็มารับ ระหว่างทางผ่านประตูชัยและสถานที่สำคัญๆของนครหลวงเวียงจันทน์ และร้านอเมซอน ซึ่งเราอยากแวะแต่ว่าเกรงใจรถ kokkok จึงนั่งมาเรื่อยๆใช้เวลาประมาณ 30 นาที ก็มาถึงที่สถานีรถไฟระหว่างที่นั่งรอเราก็ใช้บรอการฟู๊ดแพนด้า สั่งอเมซอนมากิน ราคาก็พอๆกับบ้านเรา พอใกล้ถึงเวลา เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าผู้โดยสารที่จะเดินทางกลับกรุงเทพฯให้ทำเรื่อง ตม.ผ่านแดนไปรอที่สถานีได้เลย ซึ่งขั้นตอนก็ไม่ยุ่งยาก กรอกใบผ่านแดนชั่วคราว (ขาออก)ยื่นคู่กับพาสสปอร์ต ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยหิ้วกระเป๋าข้ามแดนได้เลย
พอเดินข้ามมาไม่กี่ก้าวก็จะมีที่ให้นั่งรอตรงชานชาลา หรือเดินถ่ายรูปเล่นได้ แต่เจ้าหน้าที่ของทางการลาวก็จะคอยดูแลความเรียบร้อยและไม่ให้ลงไปถ่ายตรงรางรถไฟเพราะเกรงจะเป็นอันตราย ประมาณ 17.30 น.รถไฟก็แล่นมาจอดที่ชานชาลา ซึ่งขากลับอย่างที่บอกเรากดของตู้นั่งแบบมีแอร์ เพราะกลัวจะเหนื่อยเกินไปเพราะตอนเช้าต้องทำงานกันต่อ รถมาถึงที่ด่าน ตม.หนองคาย ตรงนี้ใช้เวลาทำขั้นตอน ตม.ผ่านแดนอีกประมาณ 30 นาที ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่ายังมีเวลาอีกประมาณ 25-30 นาที กว่ารถจะออก เราจึงเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บบนขบวนรถและเดินไปเที่ยวตลาดนัด ซึ่งมีของกินของใช้เสื้อผ้ารองเท้าขายเยอะมาก ส่วนใหญ่ก็เป็นสินค้าไทยที่เอามาขายให้คนลาวที่ข้ามฝั่งมาซื้อ เราเดินช้อปแบบรีบๆได้ขนมนมเนย ไส้กรอก ทอดมัน ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ติดไม้ติดมือมากินระหว่างทาง เพราะบนขบวนรถนั่งตู้แอร์เจ้าหน้าที่การรถไฟจะไม่อนุญาตให้แม่ค้าเข้ามาขายเหมือนรถไฟชั้น3 ซึ่งขออวยยศ ขบวนรถไฟนั่งตู้แอร์ ที่สะอาดมากๆเรียบร้อยเป็นระเบียบ มีเจ้าหน้าที่มากวาดถูพื้นทำความสะอาด และยังมีเจ้าหน้าที่คอยเดินมาบอกว่ามีแม่ค้ามาขายอะไรชั้น 3 (พัดลม) บ้าง ถ้าเราสนใจก็สามารถเดินข้ามขบวนไปซื้อได้ แต่เราก็ไม่ได้ซื้ออะไรเพิ่ม เพราะอิ่มสุดๆ และแน่นอนพอกินอิ่มหนังตาก็เริ่มหย่อน ก็เลยหลับยาวๆถึงกรุงเทพฯ เกือบ6โมงเช้าเลยก็ว่าได้
‘เรียกได้ว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวทริปสั้นๆแต่สนุกมากๆอีกทริปนึงเลย ซึ่งใครที่อยากจะไปเที่ยวเวียงจันทน์ตอนนี้สะดวกมากและเที่ยวในราคาประหยัดด้วย ยิ่งช่วงนี้ค่าเงินกีบลาวอ่อนค่า 730กีบ : 1 บาทไทย ต่างจากตอนที่รองเท้าแก้วเคยไปเใอ 6-7 ปีก่อน ที่ค่าเงินกีบอยู่ที่ 250 กีบ :1 บาทไทย’
รวมค่าใช้จ่ายทุกอย่างตลอดทริป2วัน1คืนคนละ 3พันบาท ส่วนใหญ่จะเป็นของกินกับค่ารถสามล้อ(ก่อนจะรู้จัก kokkok)แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากๆสำหรับการนั่งรถไฟขบวนประวัติศาสตร์เที่ยวสองเมืองหลวง กรุงเทพฯเวียงจันทน์ ด้วยงบหลักพัน สำหรับใครที่สนใจก็เข้าไปที่เว็บไซต์ รฟท.กดจองตั๋วล่วงหน้ากันได้เลย ถ้าใครไม่มีเวลาก็ออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยกันกับรองเท้าแก้วน๊าาาา