วันที่ 6 ส.ค. จากกรณีที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล โพสต์ผ่านสื่อโซเชียลว่าได้พบปะพูดคุยกับทูตและอุปทูตจากหลายประเทศ เพื่อหารือเกี่ยวกับวิกฤติประชาธิปไตยในประเทศไทย และกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดวินิจฉัยคดียุบพรรคก้าวไกลในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวว่า หากไปพบปะในนามส่วนตัวก็โอเค แต่ครั้งนี้มีการโพสต์ว่าคณะทูตประเทศต่างๆ มีความกังวลเรื่องการยุบพรรค และการภาวะวิกฤติประชาธิปไตยในประเทศไทย ตนมองว่าไม่เหมาะสม เหมือนเป็นการชักศึกเข้าบ้าน ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และไม่แน่ใจว่าคณะทูตทราบในรายละเอียดหรือไม่ว่ามีที่มาที่ไปเป็นอย่างไร
โดยนายเกรียงยศกล่าวว่า กรณีนี้กระทรวงการต่างประเทศมีหน้าที่โดยตรงที่จะประสานกับบรรดาทูต หรือเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง โดยต้องให้ข้อมูลที่มาที่ไปถูกต้อง รวมทั้งการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกลนั้น ไม่ควรเข้าไปก้าวก่าย หรือแทรกแซง “แม้กระทั่งเรา ที่เป็นคนไทยเองก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ควรเข้าไปแทรกแซงอำนาจของศาล ไม่ว่าจะผิดหรือถูก ก็ต้องปล่อยให้เป็นอำนาจของศาลยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน” นายเกรียงยศ กล่าว
ต่อข้อถามว่าการที่นายพิธาไปพบปะกับทูต อาจให้รายละเอียดไม่ครบ ทำให้ผู้รับข้อมูลเข้าใจอีกมุมมอง นายเกรียงยศ ระบุว่า ใช่ นั่นคือเหตุผลหลัก ตนไม่ได้ว่าทางคณะทูต เพราะเขามีหน้าที่มารับฟังปัญหา หรือเหตุการณ์ต่างๆ เป็นปกติ แต่นายพิธามีโอกาสให้ข้อมูลเป็นกลางน้อยมาก เนื่องจากหลายครั้งที่เขา หรือนายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรคก้าวไกล ออกมาแถลงข่าว ก็มักพูดดูหมิ่นดูแคลนระบบยุติธรรมของไทยอยู่แล้ว
เมื่อถามว่าหากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญพรุ่งนี้เป็นลบต่อพรรคก้าวไกล จะทำให้มวลชนออกมากดดันหรือไม่ นายเกรียงยศ เชื่อว่า ไม่มีการออกมากดดัน เพราะที่ผ่านมา ศาลให้ความยุติธรรมกับทุกฝ่าย หลายคดีที่เกี่ยวข้องกับพรรคก้าวไกลก็มีการยกฟ้องบ้าง ซึ่งเมื่อศาลยกฟ้องทางพรรคก้าวไกลก็บอกว่าเป็นความยุติธรรม ดังนั้นเมื่อไม่ยกฟ้องหรือตัดสินไปอีกทาง หากก้าวไกลจะบอกว่าไม่ยุติธรรมแล้วออกมากดดันศาล นั่นไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตยที่ถูกต้อง ส่วนผลการวินิจฉัยจะเป็นอย่างไร ตนไม่สามารถบอกได้ เพราะอยู่ในอำนาจของศาล ไม่ควรที่จะก้าวก่าย หรือชี้นำว่าจะยุบหรือไม่ยุบ
