ประธาน สช. จี้นายกฯ ใช้อำนาจบริหาร จัดการบุหรี่ไฟฟ้า หลังพบระบาดหนักในเด็ก

204

สช. สานพลังภาคีเครือข่าย เปิดเวทีนโยบายสาธารณะฯ ถกแนวทางแก้ไขปัญหา “บุหรี่ไฟฟ้า” คุ้มครองเยาวชน “ผู้ช่วย รมต. ประจำ สธ.” เสนอออกกฎหมายเฉพาะจัดการ ด้าน “ศ.บรรเจิด” เห็นด้วย พร้อมชงนายกฯ ใช้มาตรการบริหาร ให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ที่มีการขายร่วมรับผิดด้วย ขณะที่ สคบ.เปิดข้อมูลปี 2567 จับได้ 1 แสนชิ้น

เมื่อวันที่ 31 ก.ค. 2567 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับหน่วยงานองค์กรภาคีเครือข่าย จัดเวทีสนทนานโยบายสาธารณะ ครั้งที่ 5 หัวข้อ บุหรี่ไฟฟ้า ฆ่าเยาวชนไทย “อย่าปล่อยให้…ฆาตกรลอยนวล” เพื่อให้ทุกภาคส่วนในสังคมรับรู้และตระหนักถึงปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งผลกระทบด้านเศรษฐกิจ สังคม สุขภาพ พร้อมร่วมกันวิเคราะห์และเสนอทางออกในการรับมือกับปัญหาของบุหรี่ไฟฟ้า โดยมีผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม ตลอดจนประชาชนที่สนใจเข้าร่วมกว่า 150 คน

นาย ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และประธานคณะทำงานบูรณาการเพื่อปราบปรามและบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า เปิดเผยว่า ตามนโยบายของ รมว.สาธารณสุข ที่ให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาบุหรี่ไฟฟ้า จึงมีการตั้งคณะทำงานบูรณาการฯ หน่วยงานต่างๆ ที่ถือกฎหมายคนละฉบับ ขึ้นมาขับเคลื่อน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่บังคับใช้เป็นการเฉพาะในการจัดการกับเรื่องนี้ ยืนยันว่าไม่มีหน่วยงานใดที่จะสนับสนุนและยอมรับบุหรี่ไฟฟ้า เนื่องจากพิษภัยทั้งในเชิงสุขภาพ เศรษฐกิจ สังคม และเป็นจุดเริ่มต้นของการใช้ยาเสพติดชนิดอื่น และที่รับไม่ได้เลยคือภาพเยาวชนอายุไม่เกิน 12 ขวบ ยืนรอซื้อบุหรี่ไฟฟ้าหลังเลิกเรียน จึงขอยืนยันว่าจะต่อสู้กับเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ว่าจะขัดกับผลประโยชน์ของใครก็ตาม

“สิ่งที่เราอยากให้บูรณาการได้จริงคือการบังคับใช้กฎหมาย ที่ขณะนี้มีอยู่หลายฉบับแต่กลับยังไม่สามารถทำให้คนหลาบจำได้ ซึ่งรอยรั่วส่วนหนึ่งอาจเกิดจากเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง เพราะต้องยอมรับว่าหากเราไปดูในสภา เจ้าหน้าที่บ้านเมือง หน่วยงานต่างๆ ก็มีผู้ที่สูบอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องอาศัยความจริงใจในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน และหากจะมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมเรื่องนี้ให้ชัดเจนโดยเฉพาะ ก็ควรจะต้องรีบคิด แต่เชื่อว่าหากสังคมเห็นร่วมกันว่าเรื่องนี้เป็นพิษภัย การผลักดันกฎหมายก็จะสามารถทำได้ในเวลาไม่นาน” ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ ประธานกรรมการบริหารสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) กล่าวว่า หนึ่งในประเด็นที่ยังเป็นปัญหาต่อการจัดการบุหรี่ไฟฟ้า คือมาตรการทางกฎหมายที่แยกส่วนน้อย 4-5 ฉบับ และทั้งหมดมีข้อจำกัดในตัว แม้อาจจะยังไม่เพียงพอแต่ด้วยสถานการณ์ที่ความรุนแรงก็จำเป็นจะต้องใช้ทั้งหมดไปก่อน โดยสิ่งที่จะช่วยเสริมได้คือมาตรการทางการบริหาร ซึ่งนายกรัฐมนตรีใช้ความเด็ดขาดได้ทันทีโดยบังคับใช้ในสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่แล้ว เช่น ให้เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดชอบหากพบการจำหน่ายในพื้นที่ที่ดูแลอยู่ เป็นต้น เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาไปได้พอสมควร

“แม้แต่ยาเสพติดที่ผิดกฎหมายเต็มๆ อย่างยาบ้าวันนี้สถานการณ์เป็นอย่างไร นี่เป็นภาพตัวอย่างที่สะท้อนปัญหากระบวนการยุติธรรมของไทย นับประสาอะไรกับบุหรี่ไฟฟ้าที่ยังมีช่องว่างช่องโหว่อยู่ หากฝ่ายการเมืองเห็นแก่ลูกหลาน สามารถใช้มาตรการทางการบริหารไปได้ก่อนเลย เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาไปได้พอสมควร ส่วนมาตรการทางกฎหมายระยะยาวในอนาคต ควรจะต้องมีการห้ามไม่ให้ครอบครองอย่างชัดเจน เพื่อที่ตำรวจจะไม่สามารถมีข้ออ้างในการดำเนินการตามกฎหมายได้” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว

นายภูมินทร์ เล็กมณี ผู้อำนวยการฝ่ายเฝ้าระวังและพิสูจน์สินค้าและบริการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวว่า สคบ. มีการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้ามานานนับตั้งแต่ที่มีการออกคำสั่งฯ ที่ 9/2558 ซึ่งขณะนั้นยังเป็นของใหม่ แต่เมื่อพบว่าสินค้าชนิดนี้ก่อให้เกิดอันตรายได้มากมาย จึงได้สั่งห้ามจำหน่ายเป็นการถาวร ซึ่งรวมไปถึงบารากู่ และน้ำยาเติมด้วย อย่างไรก็ตามมีผู้ประกอบหัวใส แยกชิ้นส่วนอุปกรณ์บุหรี่ไฟฟ้าออกมาจำหน่าย ทำให้เจ้าหน้าที่ไม่สามารถร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ดังนั้นล่าสุด สคบ. จึงได้ออกคำสั่งฯ เพิ่มสาระสำคัญในเรื่องของการผลิตเพื่อจำหน่าย ตลอดจนคำนิยามที่ครอบคลุมถึงอุปกรณ์ที่เป็นส่วนควบทั้งหมดในการนำมาประกอบเป็นบุหรี่ไฟฟ้าแล้ว

“ทาง สคบ. ยังมีหน่วยปฏิบัติการพิเศษที่ตั้งขึ้นมา เพื่อร่วมกับภาคส่วนต่างๆ ในการลงพื้นที่ตรวจสอบร้านค้า แต่ก็ต้องยอมรับว่าจำนวนเจ้าหน้าที่เรามีน้อยมาก ในขณะที่สถิติการจับกุมก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี จาก 2.7 หมื่นชิ้น ในปี 2563 กลายเป็น 1 แสนชิ้นในปี 2567 สถานการณ์บุหรี่ไฟฟ้าจึงน่าเป็นห่วงอย่างมาก และยังทราบว่าขณะนี้มีการเจาะลึกในกลุ่มเด็กและเยาวชน ซึ่งจากการสอบถามลูกสาว ก็บอกว่าปัจจุบันมีการสูบกันเกินครึ่งห้องเรียน และในวัยรุ่นผู้หญิงหากใครไม่สูบก็จะไม่ถูกยอมรับให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย” นายภูมินทร์ กล่าว

นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ความน่าเป็นห่วงของบุหรี่ไฟฟ้าต่อเด็กและเยาวชน คือเป็นสินค้าที่ไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กดีหรือไม่ดี เด็กรวยหรือจน เด็กที่มีการศึกษาสูงหรือต่ำ ซึ่งจะแตกต่างจากบุหรี่มวนในอดีตที่มักพบในเด็กกลุ่มเสี่ยง แต่บุหรี่ไฟฟ้ากลับระบาดไปถึงเด็กและเยาวชนในทุกกลุ่ม เนื่องด้วยหน้าตา กลิ่นสี รูปลักษณ์ และยังไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะในมิติการสูบเท่านั้น แต่ปัจจุบันยังพบว่าร้านค้าหลายแห่งมีการจ้างวานให้เด็กและเยาวชนเป็นผู้นำไปจำหน่าย โดยให้ค่าจ้างราววันละ 400-600 บาท

“บุหรี่ไฟฟ้ามีการพัฒนามาหลายรุ่น แต่ที่น่ากลัวคือปัจจุบันมีการทำออกมาเลียนแบบผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกล่องลูกอม ถุงยางอนามัย อุปกรณ์การเรียน หรือแม้แต่กล่องนม ฉะนั้นแม้จะไม่ต้องหลบซ่อน แต่พ่อแม่ก็อาจไม่มีทางรู้เลยว่าลูกหลานของเขาแอบพกบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ และอยากเทียบว่าบุหรี่ไฟฟ้าก็เป็นเหมือนกับสินค้าทดลองในห้าง เพราะอุตสาหกรรมยาสูบเขาก็ไม่ได้ต้องการให้สูบเพียงแค่บุหรี่ไฟฟ้า แต่บุหรี่มวนก็ยังผลิตอยู่ และการที่จะข้ามไปสูบแบบมวนหรือสูบไปด้วยกันทั้งคู่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยาก” นายพชรพรรษ์ กล่าว

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #บุหรี่ไฟฟ้า #สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ #บรรเจิดสิงคะเนติ #กระทรวงสาธารณสุข #ธนกฤตจิตรอารีย์รัตน์ #สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค #สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย