กรมส่งเสริมการเกษตร สั่งการกำชับเจ้าหน้าที่ พร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติทันที

284

สั่งเจ้าหน้าที่พร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติ

กรมส่งเสริมการเกษตร ห่วงเกษตรกร สั่งการกำชับเจ้าหน้าที่ พร้อมรับมือสถานการณ์ภัยพิบัติทันที

จากปรากฏการณ์เอนโซที่อยู่ในสภาวะปกติจะเปลี่ยนเข้าสู่สภาวะลานีญาในช่วงเดือนส.ค. – ต.ค. 67 ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยาได้คาดหมายลักษณะอากาศปลายเดือนก.ค.-ก.ย. 67 จะมีฝนตกชุกมากขึ้น จากอิทธิพลของความกดอากาศต่ำที่พาดผ่านบริเวณภาคเหนือ
และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมประเทศไทยมีกำลังแรงเป็นระยะๆ และอาจมีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้ามาใกล้หรือเข้าสู่ประเทศไทยบริเวณตอนบนของภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก ส่งผลต่อพื้นที่การเกษตรและพี่น้องเกษตรกรได้รับผลกระทบในหลายพื้นที่ ปัจจุบันตั้งแต่ 14 ก.ค.67 มีพื้นที่การเกษตรได้รับผลกระทบ 
จำนวน 10 จังหวัด  ประมาณ 211,394 ไร่ โดยประกาศเขตให้การช่วยเหลือ 1 จังหวัด คือ จ.มหาสารคาม
 
นายพีรพันธ์ คอทอง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า กรมส่งเสริมการเกษตร ห่วงใยเกษตรกรจึงได้กำหนดแนวทางการบริหารจัดการภัยพิบัติในช่วงฤดูฝน ปี 67 ให้แก่เจ้าหน้าที่กรมส่งเสริมการเกษตรไว้ใช้เป็น
แนวทางการติดตาม ป้องกันและลดผลกระทบของพื้นที่การเกษตรจากสถานการณ์ภัยพิบัติ เพื่อช่วยลดความเสียหาย
ต่อพื้นที่เกษตร โดยแบ่งออกเป็น 3 ระยะ และแนวทางการดำเนินการ 4 ด้าน ดังนี้ ระยะที่ 1) ก่อนเกิดภัย ได้แก่ ด้านการป้องกัน (Prevention) และด้านการเตรียมความพร้อม (Preparation) ระยะที่ 2) ขณะเกิดภัย ได้แก่ ด้านการเผชิญเหตุ (Response) ระยะที่ 3) หลังเกิดภัย ได้แก่ ด้านการฟื้นฟู (Recovery) โดยได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ระดับจังหวัด ดำเนินการ 4 ด้าน ดังนี้
1) ติดตามสภาพอากาศรายวัน  วิเคราะห์ ประเมินแนวโน้มจากชุดข้อมูลสภาพอากาศ สภาพพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะช่วงเดือนส.ค.- ต.ค. 67 ที่การปลูกข้าวใกล้เก็บเกี่ยว รวมถึงพืชไร่และพืชสวนอื่นๆ และแจ้งเกษตรกรเพื่อรับทราบข้อมูล ได้เข้าใจสถานการณ์ และเตรียมรับมือกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น 2) ติดตามสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด กระตุ้นการสร้างการรับรู้ ความเข้าใจในสถานการณ์ และแนวโน้ม/ผลกระทบและแจ้งข้อมูลให้กับเกษตรกรในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ 3) สำรวจและสอบทานความพร้อมของอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้พร้อมในการใช้งานตลอดเวลา และเมื่อเกิดภัยพิบัติ
ให้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ติดตาม ประเมินสถานการณ์อย่างรวดเร็วเหมาะสมกับสถานการณ์ และให้แจ้งสิทธิ์ สอบถามสิทธิ์ สำรวจ ประเมินผลกระทบเบื้องต้นให้คำแนะนำเตรียมการฟื้นฟูพื้นที่ให้มีศักยภาพในการผลิตได้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม
4) รายงานสถานการณ์เหตุด่วนฉุกเฉินต่อกรมส่งเสริมการเกษตร ทันที
5) ปฏิบัติงานร่วมกับกรมป้องกันบรรเทาสาธารณภัยในพื้นที่ เพื่อทำข้อมูลประกอบการพิจารณาประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน และวางแผนสำรวจความเสียหายเพื่อเสนอคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) โดยเร็ว

สำหรับกรณีการเกิดภัยพิบัติ อุทกภัย ช่วง ก.ย.-พ.ย. 66 กรมส่งเสริมการเกษตรได้ดำเนินการช่วยเหลือตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2562 เสร็จสิ้นไปแล้ว วงเงิน 1,936 ล้านบาท โดยจ่ายตรงเข้าบัญชีธนาคารของเกษตรกร 152,940 ราย ทั้งนี้ กระบวนการช่วยเหลือเกษตรกรที่ประสบภัยพิบัติได้พัฒนาให้รวดเร็วมากกว่าในอดีตที่ผ่านมา ตามที่ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรฯ มอบหมาย ซึ่งจะเป็นการสร้างภาพจำใหม่ให้เกษตรกรดีขึ้นกว่าเดิม.

#Thaitabloid#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์#กรมส่งเสริมการเกษตร