ผลการเลือกประธานวุฒิสภา และรองประธานวุฒิสภา ตรงตามโผ โดยนายมงคล สุระสัจจะ นั่งประธานฯ ตามด้วย พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานคนที่ 1 และนายบุญส่ง น้อยโสภณ รองประธานคนที่ 2 ทั้งสามได้คะแนนทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น
จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นตามเป้าที่ครูใหญ่ แห่งภูมิใจไทยวางไว้ แม้นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หัวพรรคภูมิใจไทย จะปฏิเสธว่าพรรคไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด นับจากนี้ไปคงต้องจับตาบทบาทของบรรดา สว.ว่าจะโชว์บทบาทแบบตามใจประชาชนที่ต้องการเห็นความถูกต้องและเป็นธรรม หรือจะเดินตามผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง โดยเฉพาะบทบาทการคัดเลือกบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระมาทำที่ทำหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายนักการเมือง และข้าราชการระดับบิ๊กขี้ฉ้อทั้งหลาย เพราะในห้วงที่ผ่านมามีนักการเมืองบิ๊กเนมติดบ่วงอยู่หลายคดี
กว่าจะถึงวันคัดเลือกยังมีเวลาอีกหลายเดือน จึงอยากให้ประธานฯรองประธานฯและทีมงานผนึกกำลังกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ขับเคลื่อนการตรวจสอบคุณสมบัติของบรรดา สว.ที่ถูกร้องเรียนทั้งในช่วงที่เลือกตั้งและหลังรู้ผลการเลือกตั้ง ให้กระจ่างก่อนเพราะมีการร้องเรียนไว้หลายประเด็นทั้งทำผิดกฎหมายเลือกตั้งไม่ว่าจะเป็นการบล็อกโหวต แจ้งประวัติการทำงานไม่ตรงกับกลุ่มอาชีพ รวมถึงลงประวัติการศึกษาเกินจริงหวังชักจูงให้ลงคะแนน ใน สว.3 ประเด็นเหล่านี้ล้วนแต่สร้างรอยด่างให้สภาสูงแทบทั้งสิ้น
ผู้ที่ถูกร้องเรียนมีเสียงนินทาว่าล้วนเกี่ยวพันกับนักการเมืองระดับบิ๊กเนม โดยเฉพาะกรณีของ พญ.เกศกมล เปลี่ยนสมัย สว.สาวที่ได้คะแนนอันดับ 1 ของประเทศ ถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง ซึ่งสอดรับกับที่นายเดชา กิตติวิทยานันท์ หรือทนายเดชา รับเป็นหมอความให้ โพสต์ในเฟสบุ๊กทนายคลายทุกข์ ว่า”เคยถอนตัวจากคดีหมอเกศหลายรอบ แต่หมอยังไม่มีบุคคลดูแล ถ้ามีคนรับช่วงผมจะยุติบทบาทในการเป็นทนายความ แม้ว่าหมอจะเป็นคนถูกหรือผิด ผมมีความภูมิใจที่ได้เป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายให้คุณหมอเกศกมล และเป็นกำลังใจให้คุณหมอ แต่ถ้าทำผิดคุณหมอก็ติดคุกหรือโดนสอยจาก สว.”
นายเดชาระบุอีกว่า โชคดีที่ได้รู้จักหมอเกศ คุณหมอเส้นสายปึกไม่ธรรมดา มีพรรคพวกมีฐานะ แต่ไม่เข้าใจทำไมไปเกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยเยอะแยะ คดีหมอตอนนี้ กกต.รับไปแล้ว 2 เรื่อง ส่วนการสอยคุณหมอไม่ใช่เรื่องง่าย ผมเคยถามคุณหมอ มีบางคนให้ลาออก หมอบอกว่าไม่ลาออกหรอก กว่าจะได้ สว.ไม่ได้ง่ายๆ 79 จาก 166 คะแนนสูงสุดในประเทศไม่มีฟลุ๊ค”
จากข้อความพอบ่งชี้ได้ว่าพญ.เกศกมล มีเส้นสายที่หนุนช่วยไม่ธรรมดา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าอาชีพทนายความหากจะรับเป็นหมอความให้ใคร จะต้องรับทราบรายละเอียดข้อมูลของลูกความเป็นอย่างดี เพื่อใช้เป็นแนวทางวางรูปคดีในการต่อสู้ ซึ่งกรณีของ พญ.เกศกมล หลังชนะเลือกตั้งตกเป็นเป้าที่สื่อทุกแขนงให้ความสนใจเป็นพิเศษ เพราะได้คะแนนอันดับ 1 จึงมีการตรวจสอบแบบเจาะลึกถึงประวัติการศึกษาที่ลงใน สว.3 ชวนให้เกิดข้อสงสัยถึงที่มาของวุฒิศึกษา ตำแหน่งทางวิชาการ ที่แวดวงนักวิชาการทราบกันดีว่ากว่าจะได้มาล้วนแต่ต้องใช้เวลาและความรู้ความสามารถแบบลึกซึ้ง พอข่าวแพร่กระจายออกไปสังคมจินตนาการไปในเชิงลบมากกว่าเชิงบวก มีการตั้งคำถามถึงพญ.เกศกมลให้ชี้แจง แต่ชี้แจงไม่กระจ่างแถมตั้งนายเดชา ให้เก็บข้อมูลที่ถูกบูลลี่เป็นหลักฐานเพื่อฟ้องร้องอีกต่างหาก
ประเด็นของพญ.เกศกมล น่าจะเป็นการบ้านข้อแรกที่ประธานวุฒิและทีมงานช่วยหนุนให้กกต.เร่งสะสางแล้วตอบข้อสงสัยให้กระจ่างในทุกประเด็น เพราะสังคมจินตนาการไปไกลแล้ว ยิ่งอ่านข้อความของทนายเดชาว่าเธอเส้นปึกแถมบอกว่าได้คะแนนอันดับ 1 ไม่ใช่เรื่องฟลุ๊ค ด้วยแล้ว ย่อมมีที่มาหรือแบ๊กอัพไม่ธรรมดาแน่นอน นอกจากประเด็นของ พญ.เกศกมล ยังมีข้อร้องเรียนอีกหลายประเด็นผูกโยงไปถึงบรรดาบิ๊กเนมที่เข้ามาจุ้นในการเลือก สว.ครั้งนี้ เพราะผลที่ออกมาล้วนเป็นที่ประจักษ์
ดังนั้นทั้งประธานวุฒิและทีมงานต้องช่วยหนุนให้กกต.เร่งทำความจริงให้ปรากฏตอบข้อสงสัยที่สังคมตั้งไว้ให้กระจ่างแบบหมดจด สร้างมาตรฐานใหม่ลบข้อครหาเลือกปฏิบัติที่เป็นเสมือนตราบาปอยู่ในหัวใจคนไทยให้หมดไป แต่ถ้ายังเดินในแนวทางเลือกปฏิบัติ วุฒิสภาที่ถูกขนานนามว่าเป็นสภาสูงหรือสภาพี่เลี้ยง จะถูกมองว่าเป็นแค่สภาลูกเลี้ยงที่คอยเอียงหูฟังคำสั่งผู้มีอำนาจที่ชักใยแล้วปฏิบัติตาม และจะถูกปรามาสว่าผู้ทรงเกียรติเป็นได้แค่รูปหนังตะลุงที่นายหนังคอยเชิดและชักปากเท่านั้น !!!