“กิตติ์รัฐ”ไม่หนักใจ“รองฯโจ๊ก”ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.เอาผิด ม.157 เชื่อไม่ถูกทิ้งให้ตายเดี่ยว !!

12355

“รองฯต่าย” ไม่หนักใจ “รองฯโจ๊ก” ยื่นฟ้อง ป.ป.ช.เอาผิดเซ็นให้ออกราชการ มั่นใจทำตามกฎหมายทุกอย่าง ยันไตร่ตรองละเอียดดีแล้วก่อนเซ็น ย้ำไม่เคยคิดจะขึ้น ผบ.ตร.คนต่อไป เชื่อไม่ถูกทิ้งให้ตายเดี่ยว ลั่นทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย

วันที่ 24 มิ.ย.67 หลังการประชุม ผบ.เหล่าทัพ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รองผบ.ตร.) เปิดเผยถึงกรณี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปยื่นฟ้องต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ให้เอาผิดในมาตรา 157 ที่เซ็นคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน โดยระบุว่า เพิ่งทราบข่าวจากสื่อมวลชนว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จะฟ้องเอาผิดตน ซึ่งก็ให้เป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ตอนนี้ตนกลับมาเป็นรอง ผบ.ตร. ไม่ใช่รักษาราชการแทน ผบ.ตร.แล้ว แต่ในกระบวนการพิจารณาเป็นเรื่องที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ต้องไปทำเรื่องอุทธรณ์ ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ หรือก.พ.ค.ตร. จากนี้ไปก็รอคณะกรรมการฯพิจารณา

ส่วนก่อนหน้านี้ที่มีนักกฎหมายออกมาแสดงความคิดเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนขัด พ.ร.บ.ตำรวจนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ระบุว่า ถือเป็นการตีความในแต่ละมุมมองแตกต่างกันไป ซึ่งตนก็รับฟัง ขณะเดียวกันพวกเราก็คงจะได้ยินและได้ฟังว่าสิ่งนั้นไม่ถูกต้องหรือสิ่งนี้ไม่ชอบ แต่มีใครได้ดูข้อเท็จจริงบ้างหรือเปล่า เมื่อบอกว่าคำสั่งนี้ไม่ถูกต้องเพราะใช้กฎหมายเก่า แต่ พ.ร.บ.ตำรวจ เกิดขึ้นในปี พ.ศ.2565 ซึ่งตนก็ดำเนินการไปตามพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้อง การที่นำกฎหมายปี 2565 มาใช้ถือเป็นพื้นฐาน แต่ในข้อเท็จจริงมีใครเคยหยิบมาดูหรือไม่ในเรื่องพฤติกรรมและความร้ายแรงแห่งคดี

ส่วนที่กฤษฎีกามีความเห็นว่าคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนไม่ถูกต้อง แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบนั้น พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่าตนไม่มีความเห็นเรื่องนี้และไม่ขอวิพากษ์วิจารณ์ กฤษฎีกาถือเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมายของนายกรัฐมนตรี และเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ขึ้นตรงต่อนายกฯ เหมือนกัน ความเห็นใด ๆ ที่เป็นข้อผูกพันทางกฎหมาย หน่วยงานย่อมถือปฏิบัติ แต่ข้อสังเกตเราก็รับไว้และกลับมาดูว่าจะสามารถทำได้หรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่าหากย้อนกลับไปเมื่อตอนเป็นรักษาการ ผบ.ตร.จะยืนยันได้หรือไม่ว่าการเซ็นคำสั่งดังกล่าวได้ไตร่ตรองอย่างละเอียดและถูกต้องแล้วหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวว่า เป็นช่วงจังหวะที่เข้ามารักษาการ ผบ.ตร. ทุกสิ่งทุกอย่างเข้ามาอยู่ในจุดนั้นพอดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติใช้ดุลยพินิจพิจารณาประกอบกับข้อกฎหมายตามระเบียบและคำสั่ง และกฎ ก.ตร.ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบแล้ว ดังนั้นจึงขอให้รอดูข้อเท็จจริง แต่อย่าไปมีมุมมองว่าอันไหนผิด อันไหนถูก และเป็นสิทธิ์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ที่จะบอกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ได้พิจารณาจากพยานและหลักฐานมาประกอบถึงจะพิจารณาได้ว่าคำสั่งที่ออกไปถูกต้องหรือไม่ อยู่ที่องค์กรอิสระและคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ส่วนหลังจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะสงบและมีความสามัคคีหรือไม่ เพราะทันทีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้กลับเข้าตร.ก็จะเดินหน้าฟ้องรายบุคคล พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ บอกว่าในขณะที่ตนรักษาการ ผบ.ตร.ก็มีหน้าที่ทำงาน แม้แต่ตอนนี้กลับมาเป็น รอง ผบ.ตร.ก็มีหน้าที่รับผิดชอบงานปราบปราม และเห็นว่าตำรวจก็ร่วมมือร่วมแรงกันดี ส่วนประเด็นต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นย่อมเป็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ถือเป็นเรื่องปกติ และคิดว่าเรื่องความขัดแย้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องความขัดแย้งภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่มี นายฉัตรชัย พรหมเลิศ เป็นประธาน ก็ชัดเจนตามที่ นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี ออกมาแถลง ที่ยอมรับว่าในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความขัดแย้งกันจริง ซึ่งเป็นความเห็นของคณะกรรมการฯ ตนก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่เมื่อ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ กลับมาปฏิบัติหน้าที่ก็ยังไม่ปรากฏเรื่องที่ต้องขัดแย้งกัน หรือจะมีรอง ผบ.ตร.คนใดกลับมาก็เป็นเรื่องที่ต้องให้มีความชัดเจนในเรื่องที่ถูกกล่าวหาและต้องมีหลักฐาน ใครจะกลับมาตนก็พร้อมทำงาน เป็นรอง ผบ.ตร.เหมือนเดิม ส่วนใครจะฟ้องก็เป็นสิทธิ์ ตนมีหน้าที่แก้ต่างก็ทำไป

ส่วนที่มองว่าตนกำลังจะถูกเช็กบิลนั้นก็ไม่เคยคิด แต่ตนเองถือปฏิบัติอยู่ในความสุจริตเป็นที่ตั้งและทำเพื่อองค์กร โดยยึดเอากฎหมาย ออกระเบียบและคำสั่งมาประกอบแล้ว ส่วนอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ตนก็พร้อมยอมรับ

เมื่อถามว่ายังมั่นใจว่าจะได้ขึ้นเป็น ผบ.ตร.คนต่อไปหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐหัวเราะและบอกว่าไม่เคยคิดแบบนั้น และขออย่าใช้คำว่ามั่นใจ ขนาดจะคิดยังไม่กล้าคิดเลย และไม่มีสัญญาใจใด ๆ คิดอย่างเดียวว่าได้รับหน้าที่อะไรก็ทำให้ดีที่สุด

ส่วนที่มองว่าตนเองถูกทิ้งให้ตายเดี่ยวในครั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ กล่าวย้ำทำนองว่า “เกิดมาก็ตายเดี่ยว ทุกคนเกิดมาก็ต้องตาย ไม่มีใครหลุดพ้นความตาย เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เมื่อความตายมาเยือนเราก็พร้อมที่จะรับความตาย เราอยู่ในพื้นฐานของความสุจริตใจและความโปร่งใส ตนปฏิบัติตามหลักนิติธรรมเพื่อองค์กร จึงพร้อมที่จะรับทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว”

ส่วนในวันที่ 26 มิถุนายน นี้ ที่จะมีการประชุม ก.ตร.จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมด้วยหรือไม่ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐบอกว่าถึงแม้ตนจะทราบวาระแล้วแต่ไม่ขอเปิดเผยเรื่องนี้ และถือเป็นเรื่องของการประชุม จะอภิปรายอะไรก็เป็นเรื่องของ ก.ตร.แต่ละคนจะพิจารณา

#Thaitabloid #สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ #ข่าวอาชญากรรมวันนี้ #ศึกวงการสีกากี