เคยได้ยินเสียงบ่นจากพรรคพวกว่าการจราจรทั้งในเมืองกรุงและปริมณฑล ติดหนึบ บางครั้งติดแบบแยกชนแยก ใช้เวลานานหลายสิบนาทีกว่าจะขยับได้ เพราะผู้ใช้รถต่างไม่ยอมกัน
ครั้นมองไปที่ป้อมไฟจราจรก็ไร้เงาตำรวจจราจร ที่ทำหน้าที่เสมือนกรรมการปล่อยให้รถแต่ละด้านให้แล่นได้สะดวก
เจอกับตัวเองถือว่าสาหัสจริง เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ช่วงเช้าเดินทางไป จ.นครนายก ใช้ถนนลำลูกกา ปทุมธานี-องครักษ์ นครนายก เดินทางสะดวก ขากลับบ่ายโมงกว่าๆขับมาถึงสามแยกลำลูกกา ตรงไปมุ่งหน้าถนนพหลโยธินเลี้ยวซ้ายเข้าลำลูกกา มุ่งหน้ามีนบุรี ปรากฏว่าใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมงถึงจะเลี้ยวซ้ายผ่านตลอดได้
เพราะทางตรงมีรถบรรทุก รถพ่วงจำนวนมากจอดติดไฟแดงกว่าจะขยับได้ใช้เวลานาน พอรถขยับเลี้ยวซ้ายเข้ามุ่งหน้ามีนบุรี ข้ามสะพานได้ประมาณ 100 เมตร ต้องติดหนึบเพราะรถบรรทุก รถพ่วงใช้ 2 ช่องจราจรเพื่อกลับรถ แต่กลับรถไม่ได้เพราะฝั่งตรงข้ามรถติดยาวกว่า 2 กิโลเมตร ต้องรอให้ไฟเขียวจากสามแยกลำลูกการถถึงจะขยับได้ ใช้เวลากว่า 20 นาทีถึงหลุดมาได้ รวมเวลากว่า 1 ชั่วโมงถึงจะหลุดจากบริเวณดังกล่าวได้
ตกเย็นมีนัดต่อย่านประชาชื่น ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ต่อด้วยสายสีเขียว ลงห้าแยกลาดพร้าว เดินข้ามฝั่งไปเรียกแท็กซี่หน้าตึก ปตท.สำนักงานใหญ่เพื่อไปนัดหมายแถววัดเสมียนนารี ระยะทางไปถึง 3 กิโลเมตรแต่ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง
ถามโชเฟอร์แท็กซี่ว่าช่วงเย็นรถติดแบบนี้ประจำหรือไม่ เขาบอกว่าประจำในอดีตติดไม่นาน เพราะมีตำรวจจราจรยืนโบกรถอำนวยการจราจร ถึงจะติดก็ติดไม่นาน แต่ทุกวันนี้ไม่ว่าช่วงเช้าหรือช่วงเย็น ตามแยกต่างๆแทบจะไม่เห็นเงาตำรวจจราจรเลย
ยิ่งแยกที่จราจรหนาแน่นจะตั้งสัญญาณไฟแบบอัตโนมัติ ฝั่งรถน้อยกับฝั่งรถมากเวลาตั้งเวลาเท่ากัน พอรถติดไฟแดงได้แต่นั่งดูอีกฝั่งไม่มีรถเลย แต่ไฟเขียวเปิด มองไปที่ป้อมยามคุมไฟก็ไร้เงาตำรวจจราจร
แท็กซี่คนเดิมบ่นอีกว่าขับรถตั้งแต่เช้ายันค่ำ ช่วงจราจรหนาแน่น แต่ก่อนจะมีตำรวจจราจรยืนตามแยก ตามจุดกลับค่อยอำนวยการสะดวก แต่ปัจจุบันนี้แทบจะหาไม่เจอ
ประสบการณ์เหล่าผู้ใช้รถทั้งในเมืองกรุงและปริมณฑลล้วนได้สัมผัสมาแล้วทั้งสิ้น จากในอดีตที่เคยมีตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวก ปัจจุบันแทบจะไม่มีให้เห็นแล้ว
แต่ช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาผู้ใช้รถต่างมีความหวัง เมื่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.)รับผิดชอบงานจราจร ออกแอคชั่น เดินสายตรวจการจราจรในช่วงเช้า ผู้ใช้รถต่างหวังว่าคงได้เห็นตำรวจจราจรกลับมาบริการเหมือนเดิม ผ่านไปไม่ถึงสัปดาห์กลับเงียบหายไป
ซึ่งแตกต่างจาก รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานจราจรในอดีต ที่มีการวางแผนแก้ปัญหาการจราจรติดขัดแม้จะแก้ได้ไม่ถึง 80 เปอร์เซ็น แต่ช่วยให้รถใช้ความเร็วมากกว่าเดิม
จำได้ว่าในยุคที่ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รอง ผบ.ตร.รับผิดชอบงานจราจร วางแนวทางขอคืนพื้นที่บนถนนด้วยการประกาศยกรถที่จอดทิ้ง จอดแช่ บนถนนทุกสาย สามารถเพิ่มผิวการจราจรได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ จัดการกับผู้ใช้รถที่เห็นแก่ตัว ปาดหรือแทรก ขณะการจราจรติดขัด ส่งให้การจราจรคล่องตัวขึ้น
วันหยุดเสาร์อาทิตย์หรือหยุดยาว พล.ต.อ.วุฒิ วางแนวทางจัดจราจรในเขตปริมณฑลให้ตำรวจจราจรท้องที่และตำรวจทางหลวง ประสานการทำงานคอยอำนวยความสะดวก ผู้ใช้รถที่เดินทางท่องเที่ยว ผลเป็นที่พอใจของผู้ขับขี่ จากนั้นวางแนวทางให้ตำรวจจราจรเมืองท่องเที่ยวหลักๆ อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่ และภูเก็ต ออกอำนวยความสะดวกช่วงวันหยุด
ส่วนพื้นที่ในกรุงเทพฯ พล.ต.อ.วุฒิ กำชับให้ตำรวจทุก สน.สอดส่องดูแลไม่ให้มีการจอดรถบนถนนที่ห้ามจอดตลอดเวลา สามารถช่วยให้การจราจรไหลรื่นตลอดทั้งวันโดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจ
เมื่อนโยบายนี้ออกใช้ไม่ถึง 2 เดือน พล.ต.อ.วุฒิ ถูกสั่งเปลี่ยนหน้าที่ไปรับผิดชอบด้านอื่นแทน มาพร้อมกับเสียงนินทาว่าทำให้ตำรวจท้องที่และตำรวจจราจรกลางขาดรายได้ประจำเดือนที่ร้านค้าริมถนนจ่ายให้
ดังนั้นเมื่อ พล.ต.อ.สรุเชษฐ์ ได้รับมอบหมายจาก พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ให้รับผิดชอบงานจราจร ลองไปศึกษาการแก้ปัญหาการจราจรของบรรดา อดีต รอง ผบ.ตร.ดู แล้วนำมาปรับใช้ ทุกเช้าออกตรวจการจราจรในแต่พื้นที่
รวมถึงสั่งการให้หัวหน้าโรงพักทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล และตำรวจทางหลวง วางกำลังตำรวจคอยอำนวยความสะดวกตามแยกและจุดกลับที่การจราจรหนาแน่น เชื่อว่าเสียงบ่นเชิงตำหนิการทำงานของตำรวจคงลดลงอย่างแน่นอน
หาก พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ทำได้จริง คงได้รับคำชมจากผู้ใช้รถใช้ถนนกระหึ่มแน่นอน ..!!