“นายกฯปูดเอง…!!! ตั๋วเพื่อไทย ล้วงลูกทำผิดซะเอง ฝากตั้ง”ผกก.”ปัดบอกแค่หารือ !!

609

“นายกฯปูดเอง…!!! ตั๋วเพื่อไทย ล้วงลูกทำผิดซะเอง ฝากตั้ง ผกก.-ปัดบอกแค่หารือ คาด”ก.พ.ค.ตร.”คงงานชุก กล้าฟันตาม พรบ.ใหม่หรือไม่.?

                             
              คิดว่าการแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผู้บังคับการ(รองผบก.)-สารวัตร(สว.)จะราบรื่นกว่าที่ผ่านมาเพราะกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ วางกรอบไว้ค่อนข้างรัดกุมให้อำนาจระดับผู้บัญชาการ พิจารณาเต็มที่

             บวกกับรัฐธรรมนูญมาตรา185 บัญญัติไว้ชัดเจนว่าห้าม สส.หรือสว.ใช้สถานะหรือตำแหน่ง กระทำการใดๆอันมีลักษณะก้าวก่ายหรือแทรกแซงเพื่อประโยชน์ของตนเอง ของผู้อื่นหรือพรรคการเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดย(3)ระบุว่าไม่ให้เกี่ยวข้องกับการบรรจุ แต่งตั้ง โยกย้าย โอนเลื่อนตำแหน่ง เลื่อนเงินเดือนของข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำและมิใช่ข้าราชการการเมือง…ฯ

          แต่เกิดประเด็นดราม่าขึ้นมาจนได้ เมื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีพูดในที่ประชุม สส.พรรคเพื่อไทยถึงการแต่งตั้งตำรวจว่า ”ผู้กำกับใหม่ ซึ่งผมมั่นใจว่ามีผู้ผิดหวังมากกว่าผู้สมหวังในห้องนี้ที่ขอตำแหน่งไป เพราะรู้สึกมันเยอะเหลือเกิน แต่มีไม่น้อยที่ได้สมหวัง….”

         พลันที่ข่าวแพร่ออกไป นายรังสิมันต์ โรม และนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ออกมาขย้ำทันว่าการกระทำของนายเศรษฐาและสส.เพื่อไทย เข้าข่ายผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 185 (3) กฎหมายตำรวจ และจริยธรรมนักการเมือง

       แม้นายเศรษฐา จะมาแก้ตัวในภายหลังว่า”ไม่มีอำนาจ ไม่เคยแทรกแซง ที่หารือกันเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด ไม่ได้พูดว่าผู้กำกับการคนไหน ต้องอยู่ที่ไหน ขอยืนยันว่าสส.ไม่ได้มาขอ พูดเรื่องความไม่ได้พูดเรื่องคน ไม่เคยก้าวก่ายการแต่งตั้งผกก.และการแต่งตั้งไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจของผม”

    หากนำพฤติกรรมของนายเศรษฐา มาเปรียบเทียบกับพฤติกรรมของบรรดาเสนาบดีในอดีตมิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด เพียงแต่ในอดีตมีแค่เสียงซุบซิบนินทาไม่มีการพูดกับโจ่งแจ้งแบบนายเศรษฐา

     ซึ่งแวดวงสีกากีต่างทราบกันว่าเมื่อถึงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้าย ตั๋วจากผู้มีอิทธิพลในวงการต่างๆปลิวว่อนเกือบทุกสำนักงานของบิ๊กตำรวจ ที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้าย

     บางยุคมีบัญชีรายชื่อยาวเป็นหางว่าวส่งตรงจากทำเนียบรัฐบาลถึงผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.)ก็ได้รับการสนองตอบแบบไม่ตกหล่น

   ขณะที่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติเองมีการจัดสรรให้กับบุคคลใกล้ชิดของผู้บริหารสำนักปทุมวันในหลากหลายรูปแบบ นำไปแห่ให้ตำรวจในเครือข่ายที่อยากได้ตำแหน่งโดยมีปัจจัยมาแลกเปลี่ยนวิ่งเข้าหา วิธีฮิตที่สุดคือแจกเป็นสายไล่ตั้งแต่ตำแหน่งรอง ผบก.ผู้กำกับการ(ผกก.) รองผกก.และสว. ผู้ที่รับแจกไปสามารถแต่งตั้งได้ถึง 4 คน สร้างความรายได้เป็นกอบเป็นกำ

   ในยุคนี้มีข่าวสะพัดว่ายังเดินตามรอยเดิม เพียงแต่ลดน้อยลง เพราะมีกฎหมายตำรวจฉบับใหม่ค้ำคออยู่ ไม่กล้าพลีผลามหาประโยชน์กันมากหนัก
  จึงทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผบก.-สว.ครั้งนี้ การวิ่งเต้นไม่หวือหวาเท่าที่ควร

  แต่กลับไปหวือหวาอยู่ที่พรรคเพื่อไทย เพราะนายกรัฐมนตรีจุดพลุขึ้นมาเอง แต่ทำได้ไม่ถนัดหนักเพราะบรรดาบิ๊กตำรวจหวั่นเกรงกับกฎหมายใหม่ โดยเฉพาะตำรวจที่มีคุณสมบัติครบแต่ไม่ได้รับการแต่งตั้งสามารถที่ร้องขอความเป็นธรรมจาก คณะกรรมการพิทักษ์คุณธรรมข้าราชการตำรวจ(ก.พ.ค.ตร.)ได้

     ก.พ.ค.ตร.มีด้วยกัน 7 คน มีอำนาจหลายประการ อาทิ พิจารณาวินิจฉัยร้องทุกข์ อุทธรณ์ ฯลฯ โดยเฉพาะการรับเรื่องร้องทุกข์กรณีไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้าย การเรียงลำดับอาวุโส

     คำวินิจฉัยของก.พ.ค.ตร.ให้เป็นที่สุด หากผู้ร้องทุกข์ไม่พอใจ ให้มีสิทธิ์อุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และกรณีก.พ.ค.ตร.หรือศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยหรือพิพากษา ผู้บังคับบัญชาไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การเรียงลำดับอาวุโสหรือการแต่งตั้ง ให้ถือว่าผู้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย ผู้บังคับบัญชามีอำนาจพิจารณาลงโทษได้ โดยไม่ต้องดำเนินการสอบสวนอีก

     ท้ายมาตรา 87 ระบุว่าผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือแอบอ้างอำนาจบุคคลใดหรือ เรียกรับยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดหรือกระทำการใดอันมิชอบ เพื่อให้มีการแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งผู้ใดให้ดำรงตำแหน่งใด ไม่ว่าการแต่งตั้งหรือไม่แต่งตั้งนั้นจะชอบด้วยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัตินี้หรือไม่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี

   หากมองบทบาทของ ก.พ.ค.ตร. คงเป็นที่พึ่งให้กับตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการแต่งตั้งโยกย้ายได้ จากที่ผ่านมาตำรวจที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมร้องได้แค่คณะกรรมการข้าราชการตำรวจ(ก.ตร.)ซึ่งผลการร้องเรียนไม่ค่อยได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร

        ขณะนี้การแต่งตั้งโยกย้ายระดับรองผบก.-สว. อยู่ในขั้นตอนจัดทำโผ บรรดาชาวสีกากีที่แคนดิเดตต่างรอลุ้นด้วยความระทึกว่าบิ๊กตำรวจที่มีอำนาจในการแต่งตั้งจะยึดหลักการหรือหลักกูหรือยึดตามบัญชีที่นักการเมืองสั่งมา และตัวเองจะได้ดังหวังหรือไม่ ?

        ยิ่งลุ้นหนักเป็นพิเศษเมื่อนายเศรษฐา แจ้งในที่ประชุมสส.พรรคเพื่อไทยว่ามีสส.ฝากแต่งตั้งผู้กำกับการใหม่ ผู้ที่ฝากมามีทั้งสมหวังและผิดหวัง ซึ่งหมายความว่าตำรวจที่คุณสมบัติครบอาจพลาดโอกาสเพราะไร้ตั๋วเป็นไปได้สูง

  เมื่อคำสั่งออกมาแล้วไร้ชื่อ คาดว่าก.ค.พ.ตร.คงงานชุก แต่จะชุกจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับตำรวจที่พลาดหวังกล้าพอที่จะสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตัวเองหรือไม่ ?

  เพราะที่ผ่านมาผู้พ่ายแพ้มักจะเลือกที่ปล่อยผ่านวางเฉย หากครั้งนี้ยังยึดแบบเดิมๆ ก.ค.พ.ตร.คงเป็นได้แค่สัญลักษณ์ของกฎหมายตำรวจฉบับใหม่เท่านั้น !!!