มิได้อยู่เหนือความคาดหมายที่หลายฝ่ายฟันธงไว้แต่อย่างใดว่า พรรคก้าวไกล ต้องการบทบาทในรัฐสภาทั้ง 2 ตำแหน่ง คือผู้นำฝ่ายค้านและรองประธานสภาผู้แทนคนที่ 1 เป็นไปตามคาด
เมื่อพรรคก้าวไกลออกแถลงการณ์ 6 ข้ออ้างเหตุผลสารพัดขับนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ออกจากพรรค โดยพรรคมุ่งหวังให้กอดเก้าอี้อยู่ต่อ
ในแถลงการณ์ใช้วาจาหวานจับใจว่า เรียนพี่น้องประชาชนผู้ทรงอำนาจ จากนั้นอ้างอุดมการณ์ว่าขอทำหน้าที่ฝ่ายค้านอย่างตรงไปตรงมา พร้อมกับผลักดันวาระการเปลี่ยนแปลงที่ก้าวหน้าและเตรียมความพร้อมในการเป็นรัฐบาลที่ดีของประชาชนในการเลือกตั้งครั้งถัดไป
แถลงการณ์อ้างสารพัดเหตุผลเพื่ออธิบายให้ภาพลักษณ์ของพรรคดูดี อาทิประเด็นต้องการเป็นผู้นำฝ่ายค้านระบุว่า ที่ประชุมพรรคเห็นตรงกันว่าพรรคควรเดินหน้าเป็นฝ่ายค้านที่สมบูรณ์ ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญโดยให้นายชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค รับตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน
“พรรคเข้าใจว่าการตัดสินใจดังกล่าว จะทำให้ส.ส.ของพรรคไม่สามารถดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรได้ ประกอบกับนายปดิพัทธ์ แสดงความประสงค์ว่าต้องการทำหน้าที่ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรต่อไป เพื่อผลักดันสภามีประสิทธิภาพโปร่งใส ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น รวมถึงเพื่อช่วยผลักดันในกระบวนการตรวจรับรัฐสภา มีสัญญาก่อสร้างมูลค่ากว่า 12,000ล้านบทโปร่งใส”แถลงการณ์ระบุ
แถลงการณ์ระบุอีกว่า เมื่อนายปดิพัทธ์ คงยืนยันความประสงค์จะทำงานในฐานะรองประธานสภาฯต่อ พรรคจึงจำเป็นต้องขับนายปดิพัทธ์ ออกจากการเป็นสมาชิกพรรค ตามบทบัญญัติแห่งข้อบังคับพรรคและรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พรรคก้าวไกลสามารถทำหน้าที่เป็นค้านโดยสมบูรณ์”
ท้ายแถลงการณ์ระบุ พรรคก้าวไกลขอเชิญพี่น้องประชาชนทุกคน มาร่วมกับเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศไปด้วยกัน
เป็นสาระในแถลงการณ์ที่สรุปและยกมาแค่ประเด็นว่าสำคัญที่พรรคก้าวไกลต้องการอธิบายเพื่อให้ภาพลักษณ์ดูดีในสายตาประชาชน
แต่การตัดสินใจครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่าอุดมการณ์ที่พรรคก้าวไกลอวดมาตลอดว่าทำการเมืองแบบใหม่ มีสปิริต ตรงไปตรงมา นำประเทศสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดี เป็นแค่มายาลวงตาให้มวลชนหลงใหลเท่านั้น
เพราะพฤติกรรมที่แสดงออกสะท้อนชัดว่า พรรคก้าวไกลเลือกเดินบนถนนการเมืองแบบเก่า ยอมฉีกอุดมการณ์ทิ้ง เพียงเพื่อให้นายปดิพัทธ์ อยู่ต่อแบบหน้าไม่อาย ดันนายชัยธวัช ขึ้นเป็นผู้นำฝ่ายค้านอย่างไร้ความสง่างาม
จึงอดคิดไม่ได้ว่าพฤติกรรมในสภาฯของบรรดาสมาชิกพรรคก้าวไกลในสมัยที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ภาพลวงหรือไม่ อาทิ แกนนำพรรคบางคนลุกขึ้นเย้ยหยัน นายคารม พลพรกลาง สส.ก้าวไกลที่ปันใจชัดเจนไปอยู่พรรคภูมิใจไทย เมื่อนายคารม ลุกขึ้นอภิปรายว่าให้บอกสังกัดพรรคด้วย ถูกนายคารมโต้กลับว่ายินดีให้พรรคขับออก แต่แกนนำก้าวไกลนิ่งเฉยปล่อยคาราคาชังกระทั่งหมดวาระ
เมื่อเทียบพฤติกรรมระหว่างนายคารม กับนายปดิพัทธ์ จะพบว่านายคารมมีความผิดชัดเจนที่ขวักไขว่พรรคการเมืองอื่น สมควรจะขับออกจากพรรค แต่แกนนำก้าวไกลละเลย และอาจจะมุ่งหวังที่จะประจานนายคารมมากกว่า
แต่กรณีนายปดิพัทธ์ มิได้มีความผิดร้ายแรงแต่อย่างใดเพียงแค่ต้องการเสพอำนาจต่อ กรรมการพรรคสนองตอบทันทีด้วยขับออกจากพรรค แถมออกแถลงการณ์อวยอีกต่างหาก และมีหลายพรรคแบะท่ารอรับอยู่แล้ว
การเดิมเกมของพรรคก้าวไกล ครั้งนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าพรรคก้าวไกลได้เป็นรัฐบาลมีอำนาจเต็มมือ จะหลงมัวเมาในอำนาจแค่ไหน เพราะแค่จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านก็พร้อมที่แหกหลักการเพียงเพื่อให้ได้ทั้งสองอำนาจแล้ว
พฤติกรรมเหล่านี้ไม่แน่ใจว่าส.ส.และกรรมการพรรคได้คำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน ที่ลงคะแนนเสียงเลือกมาบ้างหรือไม่ อย่างนายปดิพัทธ์ ชาวบ้านเลือกเพราะสังกัดก้าวไกล หากหมดวาระมีการเลือกตั้งใหม่จะรับนายปดิพัทธ์กลับสังกัดหรือไม่
หากรับกลับก็ฟันธงได้เลยว่าพฤติกรรมพรรคก้าวไกลไม่แตกต่างกับพรรคการเมืองอื่น เพราะเป็นการฝากเลี้ยงที่ก้าวไกลชังนักชังหนา คงไม่แตกต่างกับการกล่าวหาพรรคการอื่นว่าตระบัดสัตย์
นับแต่นี้เป็นต้นไปจะได้เห็นบรรยากาศในสภาฯเต็มไปด้วยวาจาเหน็บแนมเย้ยหยัน แกนนำพรรคก้าวไกลหลายคนคงลดดีกรีความห้าว และถ้ามียางอายกันบ้างปิ๊บแถวสภาคงขาดตลาด
แต่ขอทำนายได้เลยว่าความละอายคงจะได้ไม่ได้เห็นจากส.ส.และแกนนำก้าวไกลแน่นอน แต่จะมีความหน้าด้านเข้ามาแทนที่ เพราะพฤติกรรมธำรงไว้ซึ่งตำแหน่งรองประธานสภาฯคนที่ 1 กินรวบผู้นำฝ่ายค้าน สะท้อนว่าพรรคก้าวไกลเล่นการเมืองแบบต้นตรงปลายคด กระโจนเข้าสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองเรียบร้อยแล้ว
ที่สำคัญหากยังเล่นเกมการเมืองลักษณะ เก่งอ้างอุดมการณ์ ถนัดเลี่ยงบาลี ฝันที่บอกในแถลงการณ์ว่า”พรรคก้าวไกลขอเชิญพี่น้องประชาชนทุกคน มาร่วมกับเราในการเปลี่ยนแปลงประเทศไปด้วยกัน “จะเป็นแค่ฝันเปียก !!!