ฝากการบ้าน“รบ.เศรษฐา1”
ดันปราบยาวาระแห่งชาติ
ดึง“ธรรมนัส-ชาดา”ร่วมทีม


                             
          การวิพากษ์วิจารณ์ถึงคุณสมบัติของเหล่าเสนาบดีคงจบ เพราะผ่านกระบวนการตรวจสอบทุกขั้นตอนและเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อยแล้ว

         ในวันที่ 11-12 กันยายน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรี(ครม.)แถลงนโยบายต่อรัฐสภา จากเอกสารคำแถลงนโยบายที่นำเสนอผ่านสื่อต่างๆ มีการแบ่งกรอบการทำงานระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว

     โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ซบเซาเป็นอันดับแรก ซึ่งตรงกับความต้องการของประชาชนเพราะกำลังเผชิญกับภาวะรายได้ชักหน้าไม่ถึงหลัง

   แต่อีกปัญหาที่รัฐบาลมองข้ามไม่ได้และต้องแก้โดยเร็วพอๆกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจนั่นคือการแพร่ระบาดของยาเสพติดที่กระจายอยู่ทุกหย่อมหญ้า

   นับแต่เผด็จการทหารเข้ายึดอำนาจแล้วกลายร่างเป็นรัฐบาลเลือกตั้งที่นำโดยพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นเวลากว่า 8 ปี การแพร่ระบาดของยาเสพติดรุนแรงขึ้นตามลำดับ

  ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ประชาชนจับต้องได้คือเกือบทุกวันจะเห็นภาพข่าว ลูกฆ่าบุพการี พ่อฆ่าลูก จี้จับคนเป็นตัวประกัน เผาบ้าน เผาวัด ตระเวนลักทรัพย์ พอตรวจสอบลงไปในรายละเอียดก็พบว่าส่วนใหญ่มาจากปัญหายาเสพติด

  ครั้นมองไปที่ผลการจับกุมแต่ละครั้งก็ต้องตะลึง เพราะจับยาบ้าได้ครั้งละหลายล้านเม็ด ยาไอซ์ครั้งละหลายตัน รวมถึงยาเสพติดประเภทอื่นๆอีกจำนวนมาก ล่าสุดเมื่อวันที่ 5 กันยายน ตำรวจแถลงผลการจับกุมยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย 13 เครือข่ายในห้วงเดือนสิงหาคม ยึดยาบ้า 17,200,000 เม็ด ยาไอซ์ 1.3 ตัน และคีตามีน 90 กิโลกรัม พอชี้วัดได้ว่ายาเสพติดยังระบาดหนัก

  ในห้วงกว่า 8 ปีที่ผ่านมาผลการจับกุมที่น่าสะพรึง นั่นคือการจับกุมยาบ้าหลายล้านเม็ดหรือบางครั้งถึง 10 ล้านเม็ด กลางเมืองหลวงและปริมณฑล

         ปรากฏการณ์ในลักษณะนี้ไม่ควรเกิดขึ้นอย่างยิ่ง เพราะทุกครั้งที่แถลงข่าวจะบอกเส้นทางลำเลียงมาจากชายแดนทั้งฝั่งพม่า ลาว และเขมร เลยอดสงสัยมิได้ว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐรู้เห็นด้วยหรือไม่และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จริงจังแค่ไหน เพราะแต่ละเส้นทางที่ผ่านมีทั้งด่าน ทหาร ตำรวจภูธร ตำรวจสอบสวนกลาง  ตำรวจปราบปรามยาเสพติด เจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.)และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง คอยตรวจสอบ แต่ผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยไม่เคยถูกลงโทษแต่อย่างใด

   ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยาเสพติดราคาถูกมากบางพื้นที่ขายกัน 5เม็ด 100 บาท ผู้เสพรายย่อยกลายเป็นผู้ค้าเกือบทุกชุมชนในประเทศ หลายครอบครัวสมาชิกตกเป็นทาสยาเสพติด แม้จะเพียงคนเดียวก็เหมือนตกนรกกันทั้งครอบครัว

   นอกจากจะส่งผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัวแล้วยังส่งผลให้เครือญาติคอยกังวลไปด้วย และที่กระทบหนักคือรายได้เนื่องจากส่วนหนึ่งถูกแบ่งเป็นค่าใช้จ่ายให้ขี้ยา เพราะทราบกันดีว่าพวกทาสยานิสัยขี้เกียจ หากบุพการีไม่ใส่ก็จะถูกทำร้ายหรือไปก่ออาชญากรรมตามที่ปรากฏให้เห็นจนชินตาแล้ว

  ซึ่งเป็นภาพย้อนกลับมาก่อนที่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย นำโดยน.ช.ทักษิณ ชินวัตร จะใช้มาตรการเด็ดขาดปราบปรามอย่างราบคาบ

ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ชาวบ้านต่างตั้งความหวังว่าจะเห็นการปราบปรามยาเสพติดเด็ดขาดเช่นเดียวกับยุคพรรคไทยรักไทย เหมือนสโลแกนที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีประกาศว่าเพื่อไทยมายาบ้าหมด

  แม้ว่าในคำแถลงนโยบายของนายเศรษฐาจะปรากฏแนวทางปราบปรามยาเสพติดไม่กี่บรรทัด แต่เมื่อแถลงเสร็จและนำไปปฏิบัติ ก็อยากให้ดันเป็นวาระแห่งชาติ ใช้มาตรการแบบเดียวกับยุคทักษิณ ชินวัตร

  เพื่อให้การปราบปรามดำเนินไปแบบบูรณาการเชิงรุก อยากให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการขึ้นมา โดยนายเศรษฐา เป็นประธานในฐานะกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ดึงรัฐมนตรีอาทิ  นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่ากระทรวงกลาโหม มีกำลังพลครอบคลุมทั่วประเทศ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ดูแล กรมราชทัณฑ์ ป.ป.ส. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)

   รวมถึงดึง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีว่ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และนายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่ากระทรวงมหาดไทย  มาเป็นกรรมการด้วย เพราะทั้งสองสังคมต่างทราบกันดีว่าเป็นผู้กว้างขวางและมีเครือข่ายครอบคลุมในหลายวงการ มีประสบการณ์หลากหลายรูปแบบ และบางรูปแบบก็ถูกมองว่าอิงไปในทางสีเทา

   หากนายเศรษฐาดึงเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบยาเสพติด น่าจะเป็นผลดีต่อการทำงานเพราะทั้งสองต่างผ่านประสบการณ์มาอยากโชกโชน โดยนำมาปรับใช้แบบรู้เขารู้เรา หรือหนามยอกเอาหนามบ่ง

   “เชื่อว่ารัฐมนตรีทั้งสองให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หากการปราบปรามยาเสพติดบรรลุผล เหมือนยุครัฐบาลทักษิณ จะช่วยลบภาพลักษณ์ในความทรงจำของสังคมที่มองว่าติดลบถึงขั้นตั้งฉายาว่า รัฐมนตรีแป้งและรัฐมนตรีหัวโยกหัวคลอนในติ๊กต๊อก ออกจากความทรงจำแล้วกลายเป็นภาพบวกก็เป็นได้

   จึงได้แต่หวังรัฐบาลเศรษฐา 1 จะให้การแก้ปัญหายาเสพติด อยู่ในกรอบระยะสั้นด้วย เพราะถ้าแก้ได้อย่างรวดเร็วและราบคาบ  จะช่วยลดปัญหาต่างๆได้อย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมที่ผุดราวดอกเห็ดหน้าฝน และจะช่วยพยุงสถาบันครบครัวที่สมาชิกเป็นทาสยาให้กลับมามีความสุขดังเดิมได้

   เมื่อสถาบันครอบครัวมีความสุข การขับเคลื่อนนโยบายต่างๆของรัฐบาลก็จะได้รับความร่วมมือที่ดี อายุรัฐบาลเศรษฐา 1 ที่ถูกปรามาสว่าไม่ยาวอาจจะยืนยาวอยู่ครบเทอม 4 ปี  เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งอีกครั้งอาจจะดับฝันบางพรรคที่อยากแลนด์สไลด์ก็เป็นได้
 เพราะเวลาย่อมมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงเสมอ !!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img