คำอุทธรณ์ศาลฎีกาฯมีคำสั่งพิพากษาคดี “ส.ส.ธณิกานต์”ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ฯ ฐานเสียบบัตรแทน
เมื่อวันที่ 25 ก.ค.2566 ผู้สื่อข่าวไทยแทบลอยด์ รายงานว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์คดีหมายเลขแดงที่ อม.อธ.9/2566ระหว่าง อัยการสูงสุด โจทก์ น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ จำเลย
คดีดังกล่าวสืบเนื่องมาจากอัยการสูงสุดเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2562 เวลากลางวัน จำเลยในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ลงชื่อเข้าร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 14 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง) โดยไม่ได้ลาประชุม ระหว่างเวลาประมาณ 13.39 ถึง 15 นาฬิกา ซึ่งมีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิรัชกาลที่ 10 พ.ศ….จำเลยไม่ได้อยู่ในที่ประชุม และได้ฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไว้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยอยู่ในความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายอื่นโดยความยินยอมของจำเลย เพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรายนั้นใช้บัตรของจำเลยแสดงตนและลงมติแทน โดยมีเจตนาทุจริตแสวงหาประโยชน์เพื่อตนเองหรือผู้อื่น หรือมีพฤติการณ์รู้เห็นยินยอมให้ผู้อื่นใช้ตำแหน่งหน้าที่ของ ตนแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการออกเสียงลงคะแนนแทนกัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 จำคุก 1 ปี และปรับ 200,000. บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการ
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 กรณีต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 1 ปี จำเลยอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้โอกาสโจทก์และจำเลยนำพยานหลักฐานของแต่ละฝ่ายเข้าไต่สวนเพื่อพิสูจน์ความผิดหรือความบริสุทธิ์ของจำเลยแล้ว และยังได้เรียกพยานบุคคลมาไต่สวนเพิ่มเติมตามที่เห็นสมควรด้วยฉะนั้น การที่ศาลจะลงโทษจำเลยได้หรือไม่ จึงต้องพิจารณาจากพยานหลักฐานที่ได้ความตามทางไต่สวน
ทั้งหมดประกอบกัน หาใช่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองฟังแต่เพียงสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. แล้วผลักภาระการพิสูจน์ให้แก่จำเลยแต่ฝ่ายเดียวตามที่จำเลยอุทธรณ์ไม่ เมื่อทางไต่สวนได้ความจากประจักษ์พยานโจทก์ว่า เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2563เวลา 13 นาฬิกา ถึง 15 นาฬิกา จำเลยจัดทำโครงการเสวนาแบ่งปันความรู้บทบาทแม่ยุคดิจิทัล ที่ห้องประชุมชั้น 5 สถาบันพัฒนา คุณภาพวิชาการ เลขที่ 1256/9 ถนนนครไชยศรี แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อจำเลยมาถึงงานได้มีการพูดคุยเตรียมงานก่อนขึ้นเวทีเสวนากับพยาน
ต่อมาพิธีกรได้เชิญขึ้นเวทีเสวนาขณะนั้น เวลาประมาณ 13.30 นาฬิกา โดยมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ใช้เวลาเกินกว่า 30 นาที แต่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง 15 นาที ก่อนออกจากสถานที่จัดงานพยานกับจำเลยได้ถ่ายรูปร่วมกันบนเวที จากนั้นพยานใช้เวลาอีก ประมาณ 15 นาที ในการพูดคุยกับผู้มาร่วมงานจนถึงเวลา 15 นาฬิกา
จึงออกจากสถานที่จัดงานโดยมีบันทึกไทม์ไลน์ส่วนตัวที่บันทึกไว้ใน Google Maps ยืนยันช่วงเวลาสัมพันธ์กับคำเบิกความของพยาน และสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามลำดับขั้นตอนและใกล้เคียงกับเวลาการจัดงานเสวนา นอกจากนี้พยานจำเลยซึ่งเป็น ผู้จัดงาน (ออแกไนเซอร์) เบิกความว่า จำเลยมาถึงงานเสวนาเวลาประมาณ 13.30 นาฬิกา และทุกคนลงจากเวทีเวลาประมาณ 14 นาฬิกา ประกอบกับจำเลยมีหนังสือขี้แจงแก้ข้อกล่าวหาว่า ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว จำเลยมีกิจธุระสำคัญต้องออกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรไปร่วมงานเสวนาวิชากาโครงการกิจกรรมเวทีสาธารณะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แก่แม่และเด็กในชุมชน และจำเลยยังแจ้งความไว้ต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบางโพว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตนและลงมติในวาระที่หนึ่งเวลา 13.41 นาฬิกา และวาระที่สาม เวลา 14.01 นาฬิกา เพราะรีบออกไปร่วมงานเสวนา อันเป็นการยืนยันว่าจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในเวลาที่เกิดเหตุ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฎว่าจำเลยลงมติด้วยตนเอง
ครั้งสุดท้ายเวลา 13.22นาฬิกา ต่อมาในการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 10 พ.ศ. …มีการลงมติ 2 ครั้ง โดยใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลย คือเวลา 13.41นาฬิกา และ 14.01 นาฬิกา อันเป็นการลงมติต่อเนื่องจากเวลา 13.22 นาฬิกา แสดงว่ามีบุคคลรู้ว่าจำเลยออกจากห้องประชุม
เมื่อใด และจะกลับเข้ามาประชุมอีกหรือไม่ รวมทั้งต้องมีบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยในครอบครองเพื่อลงมติแทนจำเลยได้ ทั้งเมื่อจำเลยกลับมาจากงานเสวนาก็ได้ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเองลงมติในการแสดงตนและลงมติพิจารณาระเบียบวาระต่อไปอีกหลายครั้งจนปิดการประชุม พฤติการณ์บ่งขี้ว่าต้องมีการคบคิดปรึกษากันมาก่อน ที่จำเลยมีหนังสือชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งแรกยอมรับว่าจำเลยไม่อยู่ในที่ประชุม แต่ต่อมาจำเลยกลับมีหนังสือขอขี้แจงข้อเท็จจริงแก้ข้อกล่าวหาเพิ่มเติมว่า จำเลยลงมติร่างพระราชบัญญัติเหรียญราชรุจิ รัชกาลที่ 1 พ.ศ.ด้วยตนเอง
ต่อมากลับไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กดปุ่มแสดงตนและลงมติดังกล่าว และเบิกความต่อศาลสรุปความได้ว่า จำเลยไปร่วมงานเสวนา การแสดงผลลงมติตามฟ้องน่าจะเกิดจากความผิดพลาดของระบบ หรืออาจมีผู้อื่นกดปุ่มลงมติโดยไม่ได้ รับความยินยอมจากจำเลย การให้การของจำเลยจึงมีลักษณะกลับไปกลับมาไม่น่าเชื่อถือ ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยอยู่ลงมติด้วยตนเองไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ทั้งการที่ผลแสดงตนหรือลงมติจะมีชื่อสมาชิกคนใดลงคะแนนอย่างไร พยานโจทก็เบิกความว่าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรต้องใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของตนเสียบเข้าเครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ กับต้องกดปุ่มแสดงตนหรือลงมติด้วย ดังนั้น หากไม่มีการเสียบบัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน และลงมติที่เครื่องอ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์และกดปุ่มแล้ว หรือมีการเสียบบัตรค้างไว้แต่ไม่ได้กดปุ่มใดย่อมไม่ อาจเกิดการประมวลผลใด ๆ ขึ้นได้ สำหรับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นในการประชุมเป็นข้อผิดพลาดในขั้นตอนของ การประมวลผล ไม่ใช่ข้อผิดพลาดของระบบลงคะแนอิเล็กทรอนิกส์ทั้งระบบ และในวันที่ 8 สิงหาคม 2562 จำเลยได้ใช้บัตอิเล็กทรอนิกส์แสดงตนและลงมติก่อนและหลังเวลาเกิดเหตุหลายครั้ง แต่จำเลยกลับโต้แย้ง เฉพาะเวลา 13.31 และ 14.01 นาฬิกา ว่าระบบขัดข้องหรือผิดพลาด หากจำเลยลงมติด้วยตนเองจริง จำเลยย่อมต้องแจ้งต่อที่ประชุมสภาถึงข้อผิดพลาดนั้นในทันที เชื่อว่าระบบการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์แสดงตน
และลงมติไม่เกิดข้อขัดข้องหรือผิดพลาดดังที่จำเลยอ้าง องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมาก เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐาแวดล้อมมีเหตุผลและน้ำหนักให้รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยฝากบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไว้กับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่น หรือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปอยู่ใน
ความครอบครองของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอื่นโดยความยินยอมของจำเลยเพื่อให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรนั้นใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยลงมติแทนตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงพิพากษายืน
สามารถคลิกอ่านได้ที่
https://cdn2.me-qr.com/pdf/16494292.pdf
#thaitabloid