“อะไรที่เยอะไปจะดูไม่งาม”

      ในที่สุดมติ 8 พรรคที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลยังคงเสนอชื่อ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวพรรคก้าวไกล ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรอบสอง


      โดยนายพิธา ระบุว่า”หากคะแนนไม่ได้เพิ่มอย่างมีนัยยะสำคัญหรือเพิ่มร้อย 10 คือ 344 เสียง ก็พร้อมจะถอย ถอยให้กับประเทศชาติและพรรคการเมืองอันดับ 2 ที่อยู่ในเอ็มโอยูเดิม”
    แต่เมื่อจับเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆหลังจากนายพิธา พ่ายในการโหวตรอบแรก ดูเหมือนร้อนแรงขึ้นตามลำดับ
    โดยเฉพาะแฟนคลับของก้าวไกล ทุกระดับทุกวงการต่างออกมาเคลื่อนไหวกระหึ่มโซเซียล ต้านส.ว.และ ส.ส.ที่ลงมติไม่รับ รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ที่สั่งเชือดก่อนวันลงมติเพียง 1 วัน
     บางกลุ่มถึงขั้นผุดไอเดียตามหาเมียน้อยส.ว.หวังประจานและถึงขั้นคุกคามไปถึงครอบครัว
     บางกลุ่มก็ขุดธุรกิจ ส.ว.ออกมาแฉพร้อมรณรงค์ไม่ให้ประชาชนไปใช้บริการ จนส.ว.บางกลุ่มต้องออกมาปกป้องสิทธิด้วยการฟ้องดำเนินคดี
      บางธุรกิจก็ขึ้นป้ายห้าม ส.ว. กกต.และญาติพี่น้องเข้าใช้บริการ แต่จะให้บริการฟรีกับ 13 ส.วพร้อมครอบครัวที่โหวตให้นายพิธา
      บางกิจการผวาถึงขั้นประกาศซื้อหุ้นคืนจากส.ว.เพราะกำลังถูกต่อต้านอย่างหนัก
      ขณะเดียวกันฝ่ายที่ต่อต้านนายพิธา และสนับสนุนส.ว.และส.ส.ที่ไม่โหวตให้นายพิธา ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่มโซเซียล ไม่ด้อยกว่าแฟนคลับก้าวไกล
     หยิบประเด็นที่นายพิธาลุกขึ้นชี้แจงกรณีที่ส.ส.และส.ว.ฝั่งตรงข้ามซักถามคือการแก้มาตรา 112  โจมตีแบบแถๆว่า”ไม่เห็นนายพิธามีนโยบายแก้ปัญหาปากท้องชาวบ้านเลย พูดแต่จะแก้มาตรา 112 เท่านั้น”
   แต่ถ้ามองถึงความเป็นจริง นายพิธา และพรรคก้าวไกลก็ถูกกลุ่มผูกขาด กลุ่มอำนาจเก่า และพวกขุนศึกศักดิดา ต่อต้านไม่ให้เข้ามาเป็นรัฐบาลตั้งแต่ยุคพรรคอนาคตใหม่ จนกลายร่างมาเป็นพรรคก้าวไกลแล้ว
   ยิ่งผลการเลือกตั้งออกมาแบบพลิกความคาดหมายก้าวไกลชนะอันดับ 1 เกมเจาะยางสะกัดก็เพิ่มความร้อนแรงมากขึ้น วางหมากเดินเป็นขั้นเป็นตอน ทั้งองค์กรอิสระ ส.ว.และส.ส.พรรครัฐบาลเก่า รับลูกกันอย่างกลมกลืน
  โดยเหตุผลหลักน่าจะเป็นไปตามที่นายบรรยง พงษ์พานิช กรรมการ คณะกรรมการสรรหาและบรรษัทภิบาล ระบุว่า”มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องจงรักภักดีอะไรหรอก พวกมึงเล่นจะลดกองทัพ ลดนายพล ลดข้าราชการ ลดกฎหมาย ลดอำนาจ ลดทุนผูกขาด ลดทุกอย่างของอภิสิทธิ์ชน เพิ่มแค่อย่างเดียวคือภาษีคนรวย ใครเขาจะยอมมึง”
     ดังนั้นจากปรากฏการณ์ดังกล่าวทั้งนายพิธาและแกนนำพรรคก้าวไกล น่าจะทราบอยู่แก่ใจ
       จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าระดับมันสมองของ นายพิธา และแกนนำก้าวไกล รวมถึงนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยะบุตร แสงกนกกุล แกนนำกลุ้มก้าวหน้า น่าจะรู้ถึงชะตากรรมของนายพิธา บนถนนการเมือง และอนาคตของก้าวไกล คงสะดุดอย่างแน่นอน
     หากไม่รู้ถึงอนาคต พรรคก้าวไกลคงไม่ส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเพียงคนเดียว เพราะมั่นใจว่านายพิธา และพรรคก้าวไกล ต้องโดนองค์กรอิสระจัดการให้ตกอยู่ในสภาพเดียวกับพรรคอนาคตใหม่ จึงต้องเก็บขุนตัวอื่นไว้นำทัพต่อ
    หากวิเคราะห์ถึงการเดินเกมของก้าวไกลในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี พอเดาได้ว่าก้าวไกลไม่ได้คาดหวังมากนัก เพราะมีข่าวว่าแกนนำก้าวไกลไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่นักเพื่อทาบทามขอเสียงจากส.ว. หรือรู้แล้วว่าส.ว.ไม่อยากร่วมสังฆกรรมด้วย เพราะก้าวไกลได้ดูแคลนมาตลอด หรืออาจะรู้อยู่แล้วว่าผู้กุมอำนาจบางกลุ่มไม่ปลื้มเลยไม่กล้าเข้าหา
   ยิ่งจับบรรยากาศการอภิปรายในสภาของส.ว.และส.ส.จะมุ่งเน้นประเด็นแก้มาตรา 112 เป็นหลัก มากกว่าจะเน้นอภิปรายถึงความรู้ความสามารถและคุณสมบัติของนายพิธารวมถึงนโยบายพรรค
    ขณะที่นายพิธาและแกนนำพรรคก้าวไกลก็ตอบโต้แบบไม่ลดละเช่นกัน เสมือนการนวดเน้นให้สังคมเห็นว่าทำไมต้องแก้มาตรา 112
    หลังจากที่โหวตพ่ายแฟนคลับก้าวไกลก็เคลื่อนไหวอย่างหนักเพื่อให้เลือกนายพิธาเป็นนายกฯ   แต่พรรคก้าวไกลกลับเคลื่อนไหวด้วยการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 272  เพื่อปิดสวิตช์ส.ว.แต่โอกาสหริบหรี่มากเสมือนเอาไข่ไปกระทบหิน เพราะต้องใช้เสียงส.ว.ถึง 84 เสียง และที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยเคยยื่นแก้มาแล้วก็ไม่สำเร็จ
     เมื่อก้าวไกลเลือกที่จะเดินแบบนี้ เชื่อว่าบรรดาพรรคที่จะร่วมตั้งรัฐบาลทั้ง 7 ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าก้าวไกลไม่อยากให้จัดตั้งรัฐบาลหรืออย่างไร ?
      โดยเฉพาะแฟนคลับเพื่อไทยที่มีอยู่จำนวนมากและเหนียวแน่นกว่าแฟนคลับก้าวไกลก็แสดงอาการอึดอัด ถึงขั้นวิจารณ์ว่าก้าวไกลต้องการดิสเครดิตเพื่อไทยและดึงดันที่จะขอเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งที่รู้ว่าไปต่อไม่ได้
     ขณะที่ประชาชนทั่วไปก็เกิดความรู้สึกว่าการเดินเกมของก้าวไกลก็เอาแต่ใจตัวเอง จนละเลยถึงความเดือดร้อนของประชาชนที่กำลังรอรัฐบาลใหม่แก้ไข
    หากเวลาทอดยาวออกไปแต่ยังไร้รัฐบาล กระแสที่ชื่นชมถูกตีกลับเข้าก้าวไกลก็ จะเข้าทำนอง”อะไรที่ดูเยอะไปจะดูไม่งาม”
     ในการเลือกโหวตนายกรัฐมนตรีรอบ 2 วันที่ 19 กรกฎาคมนี้ ทั้งนายพิธาและแกนนำพรรคก้าวไกลรู้อยู่เต็มอกว่าไปต่อลำบาก
      จึงอยากเห็นนายพิธา โชว์สปิริตลุกขึ้นอภิปรายด้วยเหตุด้วยผลว่าทำไมไปต่อไม่ได้ แล้วขอถอนตัวพร้อมประกาศจะนำพรรคก้าวไกลทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เชื่อว่าจะได้ใจประชาชนมากกว่า 14 ล้านเสียงแน่นอน เพราะก้าวไกลคือฝ่ายค้านที่เปี่ยมคุณภาพ ทำหน้าที่อีกสัก 2ปี หรือ 4 ปี เมื่อนั้นแหละจะถึงเวลาของพรรคส้มที่มีแฟนคลับที่ล้นหลามกว่าเดิม !!!

RELATED ARTICLES
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img
- Advertisment -spot_img