ตำรวจไซเบอร์จับกุมขยายผลปฏิบัติการฟ้าสางที่ชัยศรี หลอกลงทุนธุรกิจ ความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท

วันนี้ (6 ก.ค 66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บช.สอท. ได้สั่งกำชับเจ้าหน้าที่ให้เร่งปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการเข้าถึงระบบข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายอย่างมากทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
ล่าสุด เจ้าหน้าที่ขยายผลปฎิบัติการฟ้าสางที่ชัยศรี จับกุม นายพลาวัฒน์ (สงวนนามสกุล)อายุ 64 ปี ผู้ต้องหาหลอกผู้เสียหายลงทุนทำธุรกิจต่างประเทศ มีมูลค่าความเสียหายกว่า 20 ล้านบาท
สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกผู้ต้องหาหลอกลวงจนเชื่อใจยอมย้ายไปอยู่ด้วยกันกับหนึ่งในกลุ่มของผู้ต้องหา และระหว่างที่อยู่ด้วยกันผู้เสียหายได้ส่งมอบข้อมูลรหัสผ่านในกระเป๋าเงินดิจิทัลของตัวเองให้เพราะความเชื่อใจ จนกระทั่งทางครอบครัวของผู้เสียหายติดตามจนเจอ จึงได้พาตัวผู้เสียหายกลับไปอยู่บ้านและไม่ได้ติดต่อกับทางกลุ่มผู้ต้องหาอีก ต่อมาผู้เสียหายพบว่าอีเมล์ของตนมีการแจ้งเตือนการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลออกจากแพลตฟอร์มไบแนนซ์ของผู้เสียหาย ตรวจสอบแล้วพบว่าถูกโอนไปที่แพลตฟอร์มบิทคับ มูลค่าประมาณเกือบ 20 ล้าน จึงได้เดินทางมาแจ้งความกับพนักงานสอบสวน กก.2 บก.สอท.1 เพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหาขบวนการนี้
จากการสืบสวนพบว่า มีการโอนสินทรัพย์ดิจิทัลของผู้เสียหายออกไปจำนวน 20 ครั้ง โดยเส้นทางการเงินทั้งหมดไปจบที่บัญชีของนายพลาวัฒน์ ซึ่งเชื่อว่าเป็นหัวหน้าขบวนการในการหลอกลวงครั้งนี้ และนายพลาวัฒน์ ยังมีพฤติการณ์หลอกลวงผู้เสียหายว่าตนทำธุรกิจกับต่างประเทศ สามารถติดต่ออดีตผู้นำฟิลิปปินส์ได้ และสร้างความเชื่อถือให้ผู้เสียหายหลงเชื่อและร่วมลงทุนในธุรกิจ มีมูลค่าความเสียหายมากกว่า 20 ล้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุม นายพลาวัฒน์ อายุ 64 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ในความผิดฐาน “ร่วมกันเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตนและทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบโดยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และร่วมกันลักทรัพย์ และฟอกเงิน” อันเป็นความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 7 , 9 ,12/1และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 , 5” บริเวณภายใน ซอยพหลโยธิน แขวงจันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
เบื้องต้นผู้ต้องหา ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ให้การว่าเงินที่เข้าบัญชีของตน เป็นเงินที่ผู้เสียหายร่วมลงทุนธุรกิจต่างประเทศกับตนด้วยความสมัครใจ โดยมิได้มีการแฮ็กข้อมูลหรือมีเจตนาหลอกลวง

พร้อมกันนี้ตำรวจไซเบอร์ได้เตือนภัยขอให้ระมัดระวังไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนตัวต่อบุคคลอื่น ประกอบด้วย
1)หมายเลขข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เลขบัตรประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
2)ข้อมูลพิกัดที่อยู่อาศัย เบอร์โทรศัพท์ อีเมล
3)ข้อมูลธนาคาร เช่น เลขบัญชี, รหัส ATM, เลขบัตรเครดิต
4)ข้อมูลทางชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือ, ข้อมูลแสดงม่านตา
5)ข้อมูลอุปกรณ์ เช่น IP Address, Mac Address, Cookie ID
#สำนักข่าวไทยแทบลอยด์ สื่อออนไลน์ ที่ยึดถือจรรยาบรรณครบถ้วน

